การลงทุนเดิมทีก็มีความเสี่ยงมากพอสมควรอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของค่าเงินหรือต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ แต่เมื่อประกอบเข้ากับสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนทั้งโรคระบาดที่ยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นและสถานการณ์ทางการเมืองบนเวทีระดับโลกก็ยิ่งทำให้ตลาดการลงทุนนั้นเริ่มชะลอตัวหรือบางธุรกิจก็เรียกได้ว่าถึงช่วงขาลงแล้วจริง ๆ
ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เหมือนกำลังถูกคลื่นลูกใหญซัดเข้าทุกทาง พอถึงช่วงที่พอจะหายใจหายคอได้ก็เป็นอันต้องมีเรื่องให้ต้องปรับตัวกันไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในมุมมองของนักลงทุนระดับโลกหลายคนต่างก็มีความเห็นที่ตรงกันบ้างหรือขัดแย้งกันบ้างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับ แต่เมื่อมองภาพรวมและจากการคาดการณ์ตลาดการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วง 2-5 ปีข้างหน้านี้ก็มีอีกหลายเรื่องที่มีแนวโน้มจะเห็นไปในทางเดียวกัน
1. ข้ามวิกฤตสู่โอกาสด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
เมื่อกระแสของโลกออนไลน์ที่เมื่อก่อนเป็นเพียงพื้นที่ของการสร้างเครือข่ายในการสื่อสารได้ถูกยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือของกลุ่มธุรกิจที่ใช้ในการดึงกลุ่มลูกค้าและการโปรโมทตัวตนให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันนวัตกรรมยังคงถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนได้นำไปสู่เส้นทางการทำธุรกิจด้วยระบบดิจิทัล และดูเหมือนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเมื่อเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยกลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่ออกไปสู่สังคมภายนอกน้อยลงและอาจมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจในระยะยาว ดังนั้นจึงเริ่มมีการพัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน 3D เสมือนจริงเพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถชมบ้านตัวอย่างได้โดยไม่ต้องเดินทางออกไปยังสำนักงานขาย หรือการร่นระบบขั้นตอนในการซื้อขายให้สั้นลงด้วยระบบอินเตอร์เน็ต
ยกตัวอย่างเช่น
Zillow หนึ่งในผู้นำด้านการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ได้เปิดให้ผู้ที่ต้องการซื้อขายบ้านหรือคอนโดมือสองสามารถเลือกดูรายการทรัพย์ได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทซึ่งจะมีตัวแทนนายหน้าที่คอยให้คำปรึกษากันอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการนำเสนอเงื่อนไขของการจำนองต่าง ๆ เหมือนได้มาคุยกับเจ้าหน้าที่กันแบบตัวต่อตัว อีกทั้งยังมีบริการเข้าชมบ้านตัวอย่างผ่านระบบ 3D เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ไม่ต้องการออกมาเผชิญกับสังคมภายนอกในช่วงที่มีการระบาดหนักของ COVID-19 ด้วย
2. พลเมืองจะย้ายถิ่นฐานสู่ย่านชานมืองและชนบท
จากวิกฤตการณ์ของโรคระบาด COVID-19 ทำให้ช่วงที่ผ่านมานี้มีพลเมืองจำนวนมากย้ายที่อยู่จากใจกลางเมืองหรือเมืองใหญ่ที่มีความแออัดสู่ย่านชานเมืองและชนบทที่ผู้คนอาศัยไม่หนาแน่น ซึ่งกลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าหลายประเทศกำลังมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันและมีความเป็นไปได้ที่จะมีอัตราการย้ายที่อยู่เพิ่มขึ้นในอีก 2-4 ปีข้างหน้า โดยกลุ่มที่มีการโยกย้ายที่อยู่อาศัยนั้นมีทั้งกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยเนื่องอัตราการจ้างงานที่ลดลงสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอุปโภคบริโภค รวมไปถึง ค่าที่พักอาศัย ซึ่งการตัดสินใจย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพต่ำกว่าจึงเป็นทางเลือกที่คิดว่าจะดีขึ้นแน่ ๆ ในความคิดของหลาย ๆ คน
3. บ้านเดี่ยวเป็นที่ต้องการมากขึ้นจนเข้าสู่วิกฤตขาดแคลน
การโยกย้ายที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บ้านเดี่ยวในย่านชานเมืองหรือในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เริ่มมีการพัฒนากลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้คนมักจะอาศัยกันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ มากกว่าที่จะอยู่แบบครอบครัวใหญ่เหมือนในอดีต จึงส่งผลให้ราคาบ้านนั้นสูงขึ้นโดยอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี ขณะเดียวกันปัจจัยนี้ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างหรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือใหม่จะได้เริ่มต้นในธุรกิจการสร้างบ้านขายในพื้นที่ที่มีต้นทุนไม่สูงมาก
4. บ้านมีแนวโน้มราคาพุ่งทะลุเพดาน
ถึงแม้ว่าราคาบ้านจะมีช่วงที่ต้องลดราคาลงแบบฮวบ ๆ ในตอนที่ COVID-19 เริ่มระบาดแรก ๆ เพราะกลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของโครงการต่างก็กลัวว่าบ้านที่สร้างขึ้นมาชนกับช่วงวิกฤตนั้นจะขายไม่ออก แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่เกิน 3 เดือนราคาบ้านก็เป็นอันต้องดีดกลับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อความต้องการบ้านเพิ่มขึ้นเพราะผู้คนออกจากบ้านนน้อยลงและใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาอัตราค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน 1 หลังก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้น ไปจนถึงสภาวะแวดล้อมและสถานการณ์ในช่วงสงครามที่ทำให้วัสดุการก่อสร้างบางอย่างเข้าขั้นขาดแคลนและมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
5. ธุรกิจปล่อยเช่าถึงช่วงขาลง
หากย้อนกลับไปเมื่อ 5-10 ปีก่อน หนึ่งธุรกิจที่ไปได้ดีที่สุดก็คงไม่พ้นธุรกิจการปล่อยเช่าบ้านหรือคอนโดเนื่องจากตอนนั้นผู้คนมักจะเข้ามาทำงานอยู่ในเมืองใหญ่และอาศัยการเช่าบ้านพักแทนการลงหลักปักฐาน ซึ่งการซื้อบ้านในเมืองนั้นต่างก็รู้กันดีว่ามีราคาสูงมากจึงไม่ได้ถูกนำมาเป็นตัวเลือก
หลังจากที่ประชากรเริ่มมีแนวโน้มที่จะย้ายถิ่นที่อยู่มากขึ้นธุรกิจปล่อยเช่าในเมืองจึงเริ่มซบเซาลงจนบางพื้นที่ต้องปิดเอาไว้เพราะลูกค้าเก่าเริ่มทยอยย้ายออกและยังไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามา อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลมาตาม ๆ กันก็คงเป็นความต้องการของผู้คนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้นและปัจจุบันเงื่อนไขในการซื้อก็เอื้ออำนวยให้กับคนที่ต้องการบ้านให้สามารถกู้ซื้อได้ง่าย อีกทั้งราคาค่าผ่อนบ้านในแต่ละเดือนก็เกือบจะเทียบเท่ากับราคาของค่าเช่าบางแห่งเสียอีก
ถึงแม้ว่าความต้องการของลูกค้าจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดายในทุกช่วงเวลาแต่นั่นอาจจะไม่ใช่ข้อเสียเสมอไปหากว่ามองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ ทุกครั้งที่ต้องปรับเปลี่ยนจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ตามมามักจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเสมอนั่นจึงทำให้นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกหลายคนไม่วิตกกังวลแม้ว่าจะกำลังเผชิญกับวิกฤตอยู่ก็ตาม
อ้างอิง:
7 Key Real Estate Trends For 2022-2024 จาก https://explodingtopics.com/blog/real-estate-trends
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik