เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเดิม ๆ หรือเปล่า?
คงจะปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่าเมื่อทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ทุกวันทำให้เริ่มรู้สึกเบื่อเพราะการใช้ชีวิตอยู่กับความจำเจมากจนเกินไปอาจนำมาซึ่งภาวะที่เรียกว่า “หมดไฟในการทำงาน” เนื่องจากไม่ค่อยมีโอกาสได้พาตัวเองออกไปอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ อย่างที่ควรจะได้สัมผัส ชีวิตเหมือนถูกตีกรอบเอาไว้แล้วว่าต้องเดินทางมาทำงานด้วยเส้นทางเดิม ๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่กับโต๊ะตัวเดิมเหมือนอย่างทุกวันเป็นเวลากว่า 8 ชั่วโมง ถ้าต้องอยู่แบบนั้นเป็นเวลา 1 ปี หรือ 2 ปีก็ยังพอไหว แต่ถ้ามากกว่านั้นล่ะ?
หากคิดว่าบทความนี้กำลังแนะนำให้เปลี่ยนงานขอบอกตรงนี้เลยว่า คุณคิดผิด!
ในฐานะนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ คุณแทบไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กรอบที่ว่าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่กำลังจะบอกคือประชากรเกินกว่าครึ่งในประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านั้นอยู่โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือนและชาวออฟฟิศ รวมถึงคนที่ต้องเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนรู้สึกไม่ต่างกันก็คือ “เบื่อ”
มาถึงตรงนี้คงจะกำลังสงสัยใช่ไหมว่า “แล้วปัญหานี้มันเกี่ยวอะไรกับตัวฉันล่ะ?”
แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวหากว่าคุณไม่ใช่คนที่คิดจะเข้าไปพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ปัจจุบันหนึ่งในธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศก็คือการสร้างจุดศูนย์กลางให้ผู้คนหลากหลายอาชีพ หลากหลายสายงานเข้ามาทำงานอยู่ด้วยกันภายใต้บรรยากาศที่ไม่ซ้ำซากจำเจ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “Co-working Space” นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายคนไม่ได้ตีกรอบของตัวเองว่าจะต้องสร้างบ้านขายเพียงอย่างเดียวแต่กำลังเริ่มมองหาทิศทางใหม่ ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจที่สร้างมากับมือได้ไปต่อท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความเชื่อของเหล่าพนักงานออฟฟิศว่างานของพวกเขาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ไม่ใช่แค่ภายใต้สำนักงานหรือบริษัท ฉะนั้นปัจจัยนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมพื้นที่ทำงานเล็ก ๆ ถึงได้กลายมาเป็นธุรกิจได้ในปัจจุบัน
อยากสร้าง Co-working Space ต้องเริ่มอย่างไร?
1. กำหนดทิศทางและวางแผนธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหนต่างก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยกันทั้งนั้นแต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจ่ายไปเท่าไหร่แต่เป็นการจ่ายที่ได้ความคุ้มค่ากลับมาไหมต่างหาก ก่อนการตัดสินใจวางโครงสร้างควรวิเคราะห์ให้แน่ใจก่อนว่าสิ่งที่กำลังจะทำออกมานั้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากทางไหนได้บ้างนอกจากค่าเข้าใช้บริการ เจ้าของธุรกิจที่หันมาทำ Co-working Space บางคนใช้วิธีการเปิดบริการร้านกาแฟอยู่ด้านในควบคู่ไปกับการเก็บค่าบริการรายชั่วโมงเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้อีกทาง ในขณะที่บางคนมีพื้นที่อยู่อย่างจำกัดแต่สามารถดึงกลยุทธ์การเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงมาปรับใช้เพื่อมีผู้คนเข้ามาใช้บริการได้ตลอดทั้งวัน
2. ออกแบบโครงสร้างให้แตกต่างแต่ลงตัว
การออกแบบ Co-working Space แม้จะดูเหมือนไม่ยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพราะโจทย์ที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจจะต้องเผชิญคือทำอย่างไรให้คนที่มาใช้บริการไม่รู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในออฟฟิศที่น่าอึดอัดท่ามกลางเพื่อนร่วมงานที่มีอยู่รอบด้านและต้องไม่สะดวกสบายเกินไปจนกลายเป็นความหละหลวมเหมือนการทำงานที่บ้าน “การสร้างความสงบในพื้นที่สาธารณะ” อาจจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดสำหรับการทำ Co-working Space โดยที่คนออกแบบจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานและต้องเข้าใจเกี่ยวกับกายภาพของบุคคลว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่เหมาะที่สุดสำหรับการนั่งทำงานหลาย ๆ ชั่วโมง
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
3. เลือกทำเลที่ตั้งให้ง่ายสำหรับการเข้าถึง
ไม่ใช่เรื่องที่ถูกหรือเรื่องที่ผิดสำหรับการเลือกทำธุรกิจเกี่ยวกับพื้นที่ Co-working Space ในย่านชุมชนหรือในย่านที่เต็มไปด้วยสำนักงาน เพราะถ้าลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ หรือทำงานที่บ้านมาเป็นเวลานานจะรู้สึกถึงความเบื่อหน่ายและหมดไฟในการทำงานได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศหรือคนที่ต้องทำงานประจำอยู่ที่บ้านจึงเลือกที่จะมองหาสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ในการทำงานโดยที่ไม่ลำบากต่อการเดินทางหรือส่งผลกระทบต่อเนื้องานที่กำลังทำอยู่ ถ้าจะพูดให้ได้ใจความมากที่สุดก็คือการปักหมุดทำธุรกิจสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทำเลในย่านสำนักงานหรือย่านชุมชน
4. อุปกรณ์เสริมต้องเตรียมพร้อม
การเตรียมอุปกรณ์สำหรับพื้นที่ Co-working Space ไม่ได้หมายถึงการซื้อคอมพิวเตอร์มาตั้งโต๊ะไว้ให้บริการแต่หมายถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน ซึ่งตามที่กล่าวมา ได้แก่ อินเตอร์เน็ต Wifi ที่ต้องมีอยู่แล้ว รวมถึงโต๊ะที่มีปลั๊กไฟ เก้าอี้ที่สามารถนั่งได้อย่างสบายเป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือแม้แต่ห้องประชุมที่ต้องเตรียมไว้ในกรณีที่มีพื้นที่มากพอสำหรับรองรับผู้ที่มาใช้บริการกันแบบกลุ่มใหญ่
5. สิ่งอำนวยความสะดวกต้องมีให้ครบ
คิดว่าความคาดหวังของคนที่เข้ามาซื้อบริการจะต้องการอะไรมากไปกว่าความสะดวกสบายที่จะได้รับ แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้วนั่นก็คือความปลอดภัย ว่ากันว่าคนเราจะรู้สึกปลอดภัยที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ในบ้านแต่เมื่อไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วจะทำอย่างไรให้รู้สึกปลอดภัยไม่ต่างกัน สิ่งนี้กลายมาเป็นโจทย์อีกข้อหนึ่งของการทำธุรกิจด้านการบริการพื้นที่ Co-working Space ฉะนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าของธุรกิจจะต้องมอบให้กับลูกค้ามากกว่าการบริการก็คือความปลอดภัยทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าพบว่ามีความผิดปกติ สิ่งที่พวกเขามักจะถามถึงเป็นอย่างแรกก็คือ “กล้องวงจรปิด” ซึ่งการติดตั้งไว้ไม่ได้สร้างความเสียหายเลยสักนิดแต่ยังช่วยให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจมากขึ้นด้วย
6. มอบบรรยากาศและสังคมที่ดี
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่อยากทำงานท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ถูกตีกรอบแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนทำงานทุกคนต่างก็ต้องการความยืดหยุ่นเล็กน้อยเหมือนกับการได้อยู่ที่บ้านท่ามกลางสังคมที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดและไอเดียร่วมกับคนอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ การเปลี่ยนสถานที่ทำงานจึงไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลเดียวที่ต้องการก็ได้ แต่อาจจะรวมถึงการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ไปด้วยเช่นกัน
การเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพียงแค่คนที่ต้องนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงแต่จะต้องเป็นกลุ่มคนที่พร้อมเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกันแม้ว่าสถานการณ์ที่ว่าจะดูไม่มีความเป็นไปได้ในธุรกิจของตัวเองเลยก็ตาม การไม่จมอยู่กับแนวคิดเดิม ๆ อาจจะทำให้ได้ค้นพบกับเส้นทางใหม่ ๆ ที่คนอื่นยังมาไม่ถึงซึ่งแน่นอนว่ามันดีกว่าการที่รอให้คนอื่นทำสำเร็จก่อนค่อยตามมาทีหลัง
การจะเป็นคนที่เก็บเกี่ยวผลกำไรได้ก่อนหรือจะเป็นคนที่เก็บผลประโยชน์รั้งท้ายท่ามกลางการแข่งขันของคนทำธุรกิจเดียวกันนับร้อย ตัวคุณเลือกได้เองทั้งนั้น…
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
อ้างอิง:
7 Key Features of Every Successful Coworking Space จาก https://bit.ly/37ihLaE
What is coworking? จาก https://we.co/3KG7J0z
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik