ปลูกผักอย่างไรให้โต เพาะเมล็ดอย่างไรจึงได้กิน
ปลูกผักกินเอง…ยาก
ปลูกกี่ครั้งก็ตาย เพาะเมล็ดไปก็ไม่งอก สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการซื้อผักจากร้านค้ามากิน
การกินผักในแต่ละครั้งจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวลใจ เพราะเราไม่รู้เลยว่า..ผักในจานที่ไม่ได้ปลูกเองกับมือนั้น มีสารพิษปนเปื้อนอยู่มากแค่ไหน แทนที่จะได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุอย่างเต็มที่ จึงอาจกลายเป็นการสะสมโรคร้ายไปโดยไม่รู้ตัว
ลองปลูกผักกินเองดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าวิธีการไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนเลยเมื่อเทียบกับคุณประโยชน์และสุขภาพดี ๆ ที่เราจะได้รับ
และถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบปัญหาที่ว่า ปลูกอะไรก็ไม่รอด พืชผักสวนครัวที่หว่านเมล็ดไว้กลับตายหมด ไม่เคยได้กินผักสด ๆ เลยสักครั้ง ลองย้อนกลับไปดูที่ขั้นตอนของการเริ่มแรกดู เพราะการปลูกผักให้เติบโตอย่างสมบูรณ์นั้น หัวใจสำคัญมันเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนของการเพาะเมล็ด
ดร.ทวีศักดิ์ วิยะชัย ได้กล่าวถึงความสำคัญของในขั้นตอนการเพาะเมล็ดเอาไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกบนพื้นที่เล็ก ๆ ปลูกบนดาดฟ้า ว่า…
“ขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ อย่างหนึ่งในการปลูกผักกินเองก็คือ การเพาะเมล็ด คล้าย ๆ กับการทำคลอดเด็ก พอเมล็ดงอกแล้วจึงค่อยเติบโตออกมาเป็นต้น เป็นดอก เป็นผลให้เราได้เก็บกิน”
อดีต..เขาเพาะเมล็ดกันอย่างไร
หากมองย้อนกลับไปถึงวิธีการปลูกพืชผักในสมัยก่อน เราจะพบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นจะใช้วิธีการหว่านเมล็ดลงไปในแปลงเลย แล้วจึงจะถอนแยกออกไปปลูกในภายหลัง
ซึ่งวิธีนี้เราไม่แนะนำ..เพราะนอกจากจะเปลืองเมล็ดพันธ์ุเกินไปแล้ว ยังทำให้พืชผักของเรางอกไม่สม่ำเสมอ ต้นไม่แข็งแรง และอาจเป็นโรคตายได้ง่ายอีกด้วย
เพาะเมล็ดอย่างไร พืชผักจึงจะงอกดี ?
เมื่อรู้ข้อเสียจากการปลูกพืชผักด้วยวิธีเก่า ๆ แล้ว เราจึงต้องพัฒนาปรับปรุง
การปลูกผักสมัยใหม่จึงต้องมีการเพาะเมล็ดไว้ในภาชนะก่อน เพื่อให้ต้นกล้าได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่และได้รับการดูแลอย่างดี แต่จะใช้ในกรณีที่เมล็ดไม่เยอะ
วิธีนี้จะทำให้เราเลือต้นกล้าที่แข็งแรกไปปลูกต่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเพาะเมล็ดจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การเพาะเมล็ดในตระกร้า และการเพาะในถาดหลุม
ซึ่งในวันนี้เราจะเน้นย้ำไปที่วิธีการเพาะเมล็ดในตระกร้า ส่วนขั้นตอนและวิธีการดูแลจะเป็นย่างไรนั้น ไปดูกัน !
การเพาะเมล็ดในตะกร้า
วิธีนี้จะเหมาะกับเมล็ดผักขนาดเล็ก เช่น กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดขาว
เมื่อต้นอ่อนงอกขึ้นมาจะทำให้เราหยิบจับได้ง่ายขึ้น แล้วจึงค่อยย้ายไปปลูกต่อในถาดเพาะ ซึ่งวิธีการย้ายไปมาหลายครั้งเช่นนี้หลายคนอาจมองว่ายุ่งยากซับซ้อน แต่ข้อดีคือมันจะทำให้ต้นกล้ามีความสม่ำเสมอและประหยัดเวลามากกว่าการเพาะใส่ถาดตรง ๆ
ขั้นตอนการเพาะเมล็ดลงบนตะกร้า
ขั้นตอนแรก หาตะกร้าสี่เหลี่ยมใบเล็ก ๆ มาเป็นภาชนะ
จากนั้นจึงนำดินเพาะเมล็ดใส่ลงไปให้มีความหนาประมาณ 5 ซม. แล้วรถน้ำลงไปหมาด ๆ
ต่อไปให้นำเมล็ดผักโรยลงไปให้กระจายทั่ว ๆ กัน อย่าโรยกระจุกไว้แค่ที่เดียว ไม่เช่นนั้นต้นกล้าจะขึ้นมาเบียดเสียดกัน จากนั้นจึงใช้ดินเพาะโรยทับบาง ๆ อีกหนึ่งชั้น (อย่าให้หนาเกิน เพราะเมล็ดจะงอกยาก) ในขั้นตอนนี้บางคนอาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปกเอาไว้ ก็สามารถทำได้ ไม่ส่งผลแต่อย่างใด
เมื่อเสร็จตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว ให้ใช้ฝักบัวรดน้ำชนิดฝอยละเอียด รถน้ำลงไปจนชุ่ม
ข้อควรระวังคือ…
อย่าใช้น้ำราดลงไปแรง ๆ หรือใช้ผักบัวที่ปล่อยละอองน้ำขนาดใหญ่เกินไป เพราะแรงจากน้ำจะลงไปกระแทกในตะกร้า ทำให้เมล็ดผักที่เราเพาะไว้หลุดหายไปโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าเราเสียเวลาเปล่า ไม่ได้กินผักอย่างที่ตั้งใจไว้แน่นอน
จากนั้น…อย่าลืมรดน้ำทุกวัน
พืชผักต้องการน้ำ เพราะฉะนั้นลืมไม่ได้เด็ดขาด ต้องคอยรถน้ำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
แต่ถ้าอากาศร้อนจัด น้ำอาจระเหยเร็วเกินไป ให้ทุกคนเพิ่มเวลารดน้ำขึ้นมาเป็น 2 ครั้ง
1 สัปดาห์ผ่านไป ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ ต้นกล้าของเราจะงอกออกมาสูงราว ๆ 2-3 ซม. และมีใบเลี้ยงบานออกเต็มที่
เมื่อต้นกล้ามีลักษณะดังกล่าวแล้วให้ใช้แหนบคีบ เพื่อย้ายต้นกล้าทีละต้นไปใส่ในถาดเพาะ จากนั้นรถน้ำตามให้ชุ่ม
ต่อมา..ย้ายลงกระถางได้
ระยะแรกให้นำต้นกล้าที่เพิ่งย้ายออกจากตะกร้านั้นวางไว้ในร่มก่อน
รอจนต้นกล้าแข็งแรงแล้วจึงย้ายไปรับแดดอีก 1-2 อาทิตย์ เมื่อสังเกตเห็นว่ามีใบจริงและปริมาณรากเพิ่มขึ้นแล้ว จึงค่อยย้ายลงปลูกในกระถางหรือในแปลงต่อ
สุขภาพเรา เมื่อย่ำแย่แล้ว ใช้เงินซื้อคืนมาไม่ได้
ดูแลชีวิตให้ดี รักษาสุขภาพตั้งแต่วันนี้ อย่ากินผักที่ติดสารปนเปื้อน
การปลูกผักกินเอง ไม่ยากเหมือนคำร่ำลือหรอก
ลองดูสักครั้ง ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก เด็ดผักสด ๆ จากต้นมาทำอาหารกิน นอกจากจะประหยัดเงินซื้อข้าวนอกบ้านแล้ว ยังได้สุขภาพที่ดีกลับคืนมาด้วย
อ้างอิง : ข้อมูลจากหนังสือ ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกบนพื้นที่เล็ก ๆ ปลูกบนดาดฟ้า
เขียนโดย : ดร.ทีศักดิ์ วิยะชัย
บทความโดย : กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก : เว็บไซต์ Pexels