หากคุณกำลังเดินเข้าไปร้านหนังสือสักแห่ง ทั้งสองเท้าก้าวอย่างเข้มแข็งเพื่อมุ่งหน้าสู่โซนหนังสือขายดี จะพบกับหนังสือถอดรหัสชีวิตของบุคคลสำคัญมากมาย เมื่อเปิดเข้าไปอ่านคร่าวๆ จะพบสิ่งเดียวกัน คือการที่ผู้คนประสบความสำเร็จเหล่านี้ จะมีนิสัยหนึ่งที่เหมือนกัน คือพวกเขามักจะมีหนังสือเล่มโปรด หรือมีนิสัยรักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ
นี่คือจุดที่สนใจของเรื่องนี้ ถามว่าทำไม พวกเขาถึงต้องมีนิสัยรักการอ่าน หรือมักจะชอบอ่านหนังสือเหมือนๆกัน เพราะในขณะที่คนทั่วไปอ่านหนังสือกันน้อยลงทุกวัน สำนักพิมพ์หลายต่อหลายแห่งต่างพากันเลหลังพนักงาน และเลือกจะปิดตัวลงอย่างไม่มีวันกลับ
ผลสำรวจจากสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ มีการเปิดเผยล่าสุดในปี 2561 เปิดเผยว่า คนไทยเฉลี่ยการอ่านหนังสือมากขึ้นเป็น 80 นาทีต่อวัน สูงกว่าเดิมในปี 2558 เฉลี่ยอยู่ที่ 66 นาทีต่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าน้อยอยู่ดีเมื่อเทียบกับหลายประเทศชั้นนำ
ด้วยเหตุนี้ ถึงยิ่งทำให้ฉงนใจมากขึ้นไปอีก อุตสาหกรรมลดลง แต่ทำไมคนสำเร็จถึงยังสนใจกันนัก ถึงตรงนี้อยากให้ทุกคนลองตั้งคำถามนี้ และวิเคราะห์ดูว่าเพราะอะไร ก่อนจะเฉลย
แต่สำหรับใครที่ไม่อยากคิดเอง งั้นเราจะมาบอกผู้อ่านทุกท่านให้กระจ่างเอง โดยที่เหตุผลมันสั้นและง่ายนิดเดียว เพราะว่าในหนังสือ ‘มันมีความรู้ยังไงล่ะ’
แน่นอนคนสำเร็จ ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือ แต่พวกเขาชอบที่จะหาความรู้ใส่สมองเรื่อย ๆ เพื่อนำไปคัดกรองอีกทีจนปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างทันเวลา
ซึ่งการอ่าน นอกจากให้ความรู้ ยังฝึกสมาธิได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่เชื่อลองอ่านหนังสือสักบทติดต่อกันสักหนึ่งสัปดาห์ แล้วลองนั่งมองตัวเองดูว่าสมาธิเพิ่มขึ้นอย่างที่ว่าจริงไหม
โดยการอ่านถูกกำหนดได้เป็นสามระดับด้วยกัน การอ่านแบบธรรมดา การอ่านแบบประสิทธิภาพ และการอ่านที่มีความหมาย ไม่ใช่ทุกคนจะอ่านหนังสือและสร้างรายได้ทันที ขึ้นอยู่กับวิธีอ่านด้วย คนที่ไม่เข้าใจการอ่านจริง ๆ ก็จะอยู่แค่ระดับแรกเท่านั้น
ระดับแรก: การอ่านอย่างบ้าคลั่ง
การอ่านแบบนี้ผิดมาก เพราะเป็นการอ่านทุกอย่างโดยไม่มีการเลือก อ่านทุกอย่างจบ แต่ไม่ทราบอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายคืออะไร ไม่ใช้ระบบความรู้ใดในการอ่าน และการอ่านแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากที่คุณอ่านบนโซเชียลมีเดีย อ่านเพียงเพื่อพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าคุณอ่านแต่ไม่เข้าใจอะไรเลยและมันไม่ได้สร้างคุณค่าอย่างกระตือรือร้น ความรู้ที่คุณได้มา สุดท้ายก็จะลืมมันไป ไม่ช้าก็เร็ว
ระดับที่สอง: การอ่านที่มีประสิทธิภาพ
การอ่านที่มีประสิทธิภาพ หมายความว่า ในขั้นตอนของการอ่าน ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนถึงธรรมชาติของปัญหาที่ผู้เขียนต้องการกล่าวถึง ข้อความที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดภายในคํา ใช้เพื่อสร้างคุณค่า บางอย่าง อาจรวมไปถึงเรื่องเงินด้วย
ระดับที่สาม: ความหมายการอ่าน
การอ่านที่มีความหมาย คือการค้นหาคุณค่าและความหมายของชีวิตผ่านการอ่านและช่วยให้ผู้คนจำนวนมากพบความหมายของชีวิต สามารถมองเห็นภาพตัวเองชัดขึ้น วางแผนดำเนินชีวิตชัดเจน
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือในแบบที่สาม อ่านหนังสือเพื่อศึกษาวิธีแก้ปัญหาให้กับตนเองและผู้อื่น ในความเป็นจริง ถ้าคุณแก้ปัญหาคนอื่นได้ คุณก็มี “คุณค่า” จริง ๆ เมื่อคุณได้รับการยอมรับจากคนอื่น คุณจะสามารถเปลี่ยนคุณค่าให้เป็นรายได้
หนังสือเล่มโปรดของ บิลล์ เกตต์ มหาเศรษฐีผู้คิดค้นระบบ Windows จนประสบความสำเร็จทั่วโลก คือ The Catcher in the Rye งานเขียนอมตะที่ได้รางวัลมากมาย จนคนดังหลายคนยกให้เป็นเล่มโปรด ซึ่งในบ้านเราก็มีหนังสือเล่มนี้เช่นกัน ในฉบับแปลไทยที่ชื่อว่า “จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น”
หรือ หนังสือเล่มโปรดของ ราชาไอคอนแห่งยุค 50’s อย่าง เจมส์ ดีน ก็เป็นหนังสือที่เชื่อว่าหลายบ้านต้องมีติดไว้ที่ชั้นคือ The Little Prince หรือ เจ้าชายน้อย นั่นเอง วรรณกรรมสุดอมตะที่นิยมจนหลายคนต้องไปจับจองมาไว้ที่บ้านสักเล่ม ถือว่าไม่ตกยุค
มาถึงจุดน่าสนใจที่สอง แล้วคุณรู้ไหมว่าคุณอยู่ระดับไหน? หากคุณรู้ตัวตนว่าคุณอยู่ในระดับไหน จะทำให้เข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่าอยู่ระดับไหน ก็มีวิธีพัฒนาทักษะการอ่าน ที่เชื่อว่าเคล็ดลับการอ่านเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
อันดับแรก ต้องแบ่งหนังสือทั้งหมดของคุณออกเป็น 3 ประเภท หนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน หนังสือที่อ่านอยู่ และ หนังสือที่อ่านและจดจําได้ จากนั้นวางหนังสือที่กำลังอ่านอยู่บนโต๊ะหรืออะไรก็ตามให้ใกล้ตัวคุณมากที่สุด ส่วนหนังสือที่ยังไม่ได้อ่านนำไปวางในชั้นได้ แต่ต้องมองเห็นได้ง่าย เมื่อผ่านไปมาเราจะต้องเห็นกองหนังสือเหล่านี้ทุกวัน
แล้วจะอ่านอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ อย่างที่ได้กล่าวไปว่าจะก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปล่อยใจ สุนทรียะไปกับมัน เพราะแบบนี้ห้องสมุดจึงต้องเงียบ หรือถ้าอ่านหนังสือในสวน ก็จะได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสภาพแวดล้อมเข้ามามีส่วนเหมือนกัน
วิธีแรก คืออ่านและชําระเงินความสนใจ
การอ่านที่ได้ผลจะต้องบันทึกสั้น ๆ สรุปความหรือคีย์เวิร์ดอะไรก็ตามที่คุณจำได้ ใส่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ราวกับว่ามีหนังสือรีไรท์อีกเล่มหนึ่ง แต่มาในรูปแบบการบันทึกของคุณ ประโยชน์ของมันจะทำให้จำเนื้อหาได้รวดเร็ว เพราะจะผ่านการสรุปในหัวเรียบร้อยแล้ว
บันทึกเหมือนกับที่คุณอ่านคีย์เวิร์ดของเรียงความ ใส่เพียงคําสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธีมหลักของหนังสือ จะทำให้คุณเกือบจำทั้งเล่มได้เลย และต่อไปแม้จะไม่ได้อ่านแล้ว แต่ถ้าคำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นอยู่ในชีวิต คุณจะนึกถึงหนังสือเล่มนี้ทันที
อีกวิธีที่นิยม คือการปลุกชีวิตนักรีวิว ในตัวเองออกใช้เสียที นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด จิตวิญญาณแห่งนักรีวิวเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอมีติดตัว เพราะมันคือการวิเคราะห์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเพิ่มสมาธิ สมองจะทำปฏิกิริยาทบทวนทีหลัง แถมยังเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงวัตถุที่คล้ายกันนำมาเชื่อมต่อได้ในชีวิต
มีวิธีการอีกมากมายให้มองเห็นปัญหา อยู่ที่แต่ละบุคคลนั้นจะเลือกวิธีไหนที่เหมาะสมที่สุด สิ่งที่ต้องรู้เลยคือฝึกการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องราว และปรับปรุงถ้าหากจุดไหนที่ยังดีไม่พอ
ผู้คนมากมายอยากประสบความสำเร็จ แต่ในความจริงมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้จริง คุณลักษณะสำคัญคือความรู้ พวกเขาไม่เคยหยุดหาความรู้ ไม่ว่าจะเกี่ยวไม่เกี่ยวอย่างไร จะพาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา
การอ่านเป็นเพียงแค่ตัวเลือกหนึ่ง เพราะเชื่อได้เลยว่าความรู้สามารถหาได้รอบตัว อย่าดูถูกใครเด็ดขาด ด้วยเงื่อนไขมากมาย ไม่ว่าใครหรือสิ่งใดก็ให้ความรู้กับเราได้ทั้งสิ้น
หลายคนค้นพบตัวเองว่า ความรู้ของพวกเขามีจํากัด แม้แต่ไม่มีอะไรเลย ก็เปิดหนังสืออ่านหนังสือเพื่อให้งานสำเร็จได้ ส่วนใหญ่ยากที่จะเข้าใจ คุณต้องเลือกวิธีการอ่านที่เหมาะกับความสามารถของคุณ ไม่มีวิธีการอ่านใดที่ดีหรือไม่ดีเพราะเป้าหมายของแต่ละคนแตกต่างกัน วิธีการอ่านของพวกเขาก็แตกต่างกัน
การอ่านเป็นเพียงความสบายใจ การเปลี่ยนแปลงคือเป้าหมายและการเติบโตคือจุดจบ
คนที่ต้องการจะเป็นเลิศควรอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม การจะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมต้องมีเป้าหมายในการอ่านที่ชัดเจน หนังสือทุกเล่มที่คุณเลือก ต้องเป็นบันไดเพื่อไปสู่เป้าหมาย เพื่อที่คุณจะได้ขยับเข้าใกล้เป้าหมาย ไม่ใช่อ่านเล่น ๆ แล้วขว้างทิ้ง เกณฑ์เดียวที่จะวัดการเติบโตและการบรรลุเป้าหมายของคุณคือรายได้ของคุณดีขึ้นหรือไม่ มิฉะนั้น ทุกอย่างคือภาพลวงตา สิ่งที่ทำมาก็ไร้ความหมาย
“โปรดจงเลือกหนังสือที่ใช่ และอ่านมันให้ถูกทาง”
..
อ้างอิง:
เรียบเรียงโดย : กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digitals
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Pexels