
ภาพโดย Archie Binamira จาก Pexels
ทุกคนบนโลกนี้มีความฝัน นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีนักแล แต่ความฝันมันเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ดีดีในหัวของเราก็นึกได้เองอย่างนั้นจริงๆเหรอ หรือว่ามีใครบงการอยู่เบื้องหลังกันแน่ เราลองมาหาคำตอบกัน
มีงานวิจัยพบว่าพื้นฐานของการกระทำมนุษย์ มีผลมาจากสิ่งรอบข้าง รวมถึงสิ่งที่สนใจทั้งนั้น คือถ้าจะให้ถูกตามหลักโดยตรงก็พูดได้เลยว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคนๆหนึ่ง มีผลมาจากทุกคนรอบข้างทั้งนั้น อย่างเช่น เด็กจำนวนไม่น้อยที่อยากเป็นหมอ คิดว่าเพราะสาเหตุอะไร ทำให้เกิดความฝันเช่นนี้
เพราะในครอบครัวมีคนเป็นหมอเหรอ? ก็อาจจะใช่ หรือเพราะว่า พ่อแม่กำลังป่วยจึงอยากหาทางรักษาพวกท่านในอนาคต? อันนี้ก็เป็นไปได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การมีความฝันเป็นของตัวเองเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและยอมรับ เพราะทุกเป้าหมายเกิดจากจุดเริ่มต้นของความฝัน ที่ถูกจัดเป็นระบบในหลายครั้ง จนต้องหาวิธีในการเอาชนะและไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการ
และอย่างที่ทุกคนรู้ดีว่า แค่มีฝันอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการไขว่คว้าความสำเร็จได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งเวลา โอกาส และ หัวจิตหัวใจ ที่แข็งแรงมากพอ
เคยมีคนบอกว่า หลายๆคนมีความฝัน เมื่อมีความฝันก็เปลี่ยนเป็นความคิด จากนั้นก็วางแผน แต่สุดท้าย ก็ไม่ลงมือทำ แล้วผลลัพธ์มันจะเป็นแบบไหนทุกคนย่อมรู้ดี นี่คงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนต้องผิดหวัง อกหักจากความฝันของตัวเอง จนต้องพับเก็บความตั้งใจเอาไว้ก่อน ซึ่งเขาไม่มีทางรู้หรอกว่าบางทีความฝันเล็กๆที่เขาคิด อาจเป็นฝันที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกใบนี้ในสักวันก็ได้
เรื่องเล่าจากชายคนหนึ่งในรายการโทรทัศน์สักแห่งบนโลก ชายคนนั้นเป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟในเมืองเล็กๆ หน้าที่ของเขาคือทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟให้ดีที่สุด เพื่อที่จะทำการคั่วด้วยความพิถีพิถัน กลั่นกรองมาให้ลูกค้าของเขาได้ดื่มกาแฟที่มีคุณภาพดีที่สุด
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งคุยกับลูกน้องคนสนิทในร้าน เขาถามลูกน้องขึ้นว่า “ความฝันของเอ็ง คืออะไร” ลูกน้องตอบไปอย่างทันที “ผมอยากมีร้านกาแฟสักร้านเป็นของตัวเองครับ” สิ่งที่เจ้าของร้านคนนี้กำลังจะทำคือสิ่งที่ไม่น่าจะมีใครทำง่ายๆ เขาบอกกับลูกน้องคนนั้นว่า “’งั้นพี่ยกร้านนี้ให้เอ็ง” คำพูดสั้นๆแต่ล้านความหมาย
มาถึงจุดนี้ทุกคนต้องคิดว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ มีที่ไหนกันยกกิจการให้ลูกน้องง่าย ๆ แต่มุมมองของเขาไม่ได้มองเช่นนั้น เขามองว่าลูกน้องคนนี้ไม่ใช่พนักงาน แต่เสมือนน้องชายของเขาแท้ๆ จึงไว้ใจและคงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรที่พี่ชายจะยกกิจการให้น้องเพื่อเป็นการตอบแทนความไว้ใจ
แต่เขามีข้อแม้เล็กน้อยว่า รายได้เพียง 50% ของทางร้านในแต่ละเดือน ต้องเก็บเอาไว้ให้เจ้าของตัวจริงอย่างเขาเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งรายได้ กำไร หรือทุกเรื่องภายในร้าน ยกให้เป็นความดูแลของลูกน้องคนนี้ไปเลย
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าของร้านตัวจริงจะต้องย้ายไปดูแลธุรกิจในเมืองอื่น ทำให้เขาต้องจากที่นี่ไปชั่วคราวเพื่อให้ลูกน้องที่เขาไว้ใจที่สุดคนนี้ จัดการทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ โดยที่เขาเชื่อมาตลอดว่าลูกน้องคนนี้ของเขาจะไม่มีทางทำให้ต้องผิดหวังแน่นอน
เวลาผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า เจ้าของร้านตัวจริงก็ยังไม่กลับมาเสียที จนมีอยู่วันหนึ่งเขาตัดสินใจกลับมาดูความเป็นไปของร้านนี้ว่าไปถึงไหนแล้ว ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน จึงไปโดยที่ไม่บอกลูกน้องคนนั้นของเขาก่อน
เมื่อมาถึง เขาต้องตะลึงอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด แต่มันคนละความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง เพราะโต๊ะและเก้าอี้กระจัดกระจาย บนพื้นเต็มไปด้วยร่องรอยไร้ซึ่งความสะอาด และซากปรักหักพังเกินจะเยียวยา พร้อมทั้งขวดเหล้าที่ระเนนระนาดเต็มไปหมด เหมือนกับร้านอาหารร้างสักแห่ง
เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงขึ้นไปรอที่ชั้นบนของร้าน เมื่อลูกน้องคนที่เขามอบหมายให้ดูแลคนนั้น เดินขึ้นไปด้านบนและพบว่าเจ้าของร้านตัวจริงมานั่งรออยู่ตรงหน้า โดยที่ไม่บอกมาก่อน เขาช็อกมาก ทำอะไรไม่ถูกไปหมด มือสั่น สายตากวาดไปทั่วไม่อยู่นิ่ง และค่อยๆสารภาพไปทีละเรื่องถึงที่มาของการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ภาพโดย Kaboompics จาก Pexels
เขายอมรับว่า เขานำเงินไปเที่ยว พาผู้หญิงมานอน กินเหล้าปาร์ตี้ จนไม่ได้เปิดร้านมาหลายสัปดาห์แล้ว เขาพูดทุกอย่างที่นึกได้ในตอนนี้ให้เจ้านายของเขาฟัง โดยที่แทบไม่หวังให้เขายกโทษหรืออะไรทั้งสิ้น จะเรียกว่าสารภาพบาปก็คงอาจไม่ผิดนัก
แต่เจ้าของร้านคนนี้ เอามือจับไหล่ของลูกน้องคนที่เขาไว้ใจมากคนนี้ ที่เพิ่งทำสิ่งที่เขามอบไว้ให้ล้มเหลวไม่เป็นท่า และพูดสั้นๆว่า “ไม่เป็นไร กูเข้าใจ กูผิดเอง”
เจ้าของร้านคนนี้ไม่โกรธเลยจริงๆเหรอ ลึกๆก็อาจจะมีบ้างตามประสามนุษย์ทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาพูดแบบนั้นออกมาเพราะมาจากความเข้าใจ บางทีลูกน้องคนนี้อาจจะรอมาทุกเดือนว่าเมื่อไหร่เจ้านายจะกลับมาดูความสำเร็จ และภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาดูแลได้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจ แต่ก็ไม่มาสักที จนบางครั้งชีวิตอาจมีเรื่องจำเป็นบางอย่าง หรือปัญหาทำให้เขาอาจจะต้องการทางแก้ ซึ่งการเมาหัวราน้ำ รวมทั้งเที่ยวผู้หญิงสารพัดก็อาจเป็นทางออกเดียวที่เขามองเห็นในเวลาเหล่านั้นก็ได้
การให้เงินกับใครสักคน แต่เราไม่สอนวิธีการใช้เงินให้กับเขา มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ได้ทุกเมื่อ นั่นคือสิ่งที่ต้องยอมรับ
มันไม่ง่าย ถ้าเราไม่ได้เติบโตจากกระบวนการเพียรพยายามบางอย่างเพื่อตัวเอง
รู้ไหมว่า คนหนึ่งจะทำอะไรสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่หรือเล็กก็ตาม สิ่งที่เขาต้องมีคือวิธีการรับมือกับสิ่งสำเร็จนั้นๆ เสาะหาวิธีกำจัดปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ให้ได้ด้วยตัวเอง จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้ทุกก้าวนับจากนี้เขาจะทำในด้วยความรู้และอาศัยประสบการณ์ในการเอาตัวรอด
เรื่องราวของชายผู้นี้ ไม่ได้กำลังจะบอกให้ระแวดระวังคนรอบข้างไปเสียหมด แต่ต้องการให้รู้จักคำว่า “เวลา” อย่างถ่องแท้ โปรดจำไว้ว่าทุกอย่างมีเวลาของมัน ช่วงเวลาดีๆก็มีเวลาของมัน ส่วนช่วงเวลาร้ายๆก็จะมีวันของมัน การที่จะรอคอยอาจเป็นเรื่องน่าอึดอัด แต่หากได้รับมาโดยที่ยังไม่ถึงเวลา สุดท้ายสิ่งนั้นก็ไม่อยู่จีรังยั่งยืนอยู่ดีนั่นแหละ
ทุกคนเข้าใจดีว่าทำไม่มันถึงเป็นเช่นนั้น มันคือกฎของธรรมชาติ บางวันอาจจะร้อน บางวันก็มีฝน หรือ บางวันตื่นมาก็สัมผัสกับลมหนาวที่ปะทะกับร่างกาย ทุกเรื่องราวในชีวิตกำลังผลัดใบในทุกวัน ถ้าวันนี้แย่ พรุ่งนี้ก็อาจจะดี หรือถ้าวันนี้ดีแล้ว พรุ่งนี้ก็อาจจะดียิ่งไปกว่านี้อีก
ฉะนั้น การจะยกความฝันของเราให้คนอื่น หรือ ไปเอาความฝันของคนอื่นมาเป็นของเรา มันไม่ง่ายเลย ที่สิ่งต่อจากนั้นจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ทางที่ดีเราควรปล่อยให้มันเติบโตในที่ของเขาดีกว่า บางอย่าง อาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของใคร แต่เกิดมาเพื่อเป็นตัวของมันเอง
เช่นกันกับคุณ…
..
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels