ข้อมูลผู้ติดเชื้อหรือตรวจพบไวรัสซาร์โควี-2 (โควิด-19) ของไทย 3,031 ราย เมื่อแยกแยะออกมาแล้วพบว่า มาตรวจเองที่ รพ. 52% การติดตามผู้สัมผัส 39% สถานกักกันของรัฐ 3% ศูนย์กักกัน 2% ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในชุมชน 2% และ ช่องทางเข้าออกประเทศ 2%
ข้อมูลนี้บอกอะไรครับ คนที่ป่วยหรือเสี่ยงที่มาตรวจที่ รพ. เองมากๆนี้ น่าจะมีผู้สัมผัสที่ตามไม่เจออีกจำนวนหนึ่งที่หลุดรอดไป ผอ.สำนักระบาดวิทยาบอกว่า...จำนวนผู้ป่วยต่ำ 10 หรือเป็น 0 เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น R0ล่าสุด คือ 3 นั่นคือ 1 คน แพร่เชื้อไปได้อีก 3 คน
เราต้องให้ความสำคัญกับการออกค้นหาผู้ติดเชื้อให้ตรงเป้าตรงจุด มิฉะนั้น จะกลายเป็น “คนมาตรวจดันไม่เสี่ยง คนเสี่ยงดันไม่มาตรวจ” หากมีการติดเชื้ออยู่ก็ย่อมแพร่กระจายเชื้อให้คนอื่นๆต่อไปได้
ดังนั้น อย่าชะล่าใจ ตั้งการ์ดป้องกันตัวเองไว้ให้มั่น เถิดพี่น้องไทย อึดอัดรุงรัง เรื่องมาก ยุ่งยากกันจริง ก็อดทนเอาหน่อย อยู่กับความผิดปกติให้ชิน เด๋วมันก็จะกลายเป็นความปกติใหม่ หรือ นิวนอร์มัล ไปเอง
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/88169099_136165334592305_6709793034470424576_n.jpg)
อาจารย์ นพ.ผจญ วงษ์ตระหง่าน อาจารย์พ่อของพวกเราชาวค่ายอาสาพัฒนา พอช.สมัยเรียนที่เชียงใหม่ สอนพวกเราชาวค่ายฯไว้ว่า “แท้จริงความลำบากไม่มี มีแต่ความไม่เคยชิน”
“ธรรมชาติ”คาดไปมิได้แน่
“สร้าง”ตัวแปรเปลี่ยนแปลงทุกแห่งหน
“อุปสรรค”หนักเบาปลุกเร้าตน
“ขึ้นมา”ยลยั่วเราจงเข้าใจ
“ให้เรา”แกร่งแข่งขันมุ่งมั่นผ่าน
“รู้จัก”การก่อกิจวินิจฉัย
“ต่อสู้”ทันปัญหาปัญญาไว
“ชีวิต”ได้ดั่งคิดสัมฤทธิ์จริง
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/31375-1024x683.jpg)
ว่ากันว่า งานวิจัยชี้ว่าคนอังกฤษติดเชื้อไปแล้วกว่า 25% ส่วนคนไทยของจริงเท่าไหร่บอกไม่ได้ เพราะเราตรวจหาสารพันธุกรรมยีนจำเพาะของเชื้อ (แอนติเจน) เท่านั้น ยังมิได้ตรวจหาร่องรอยการติดเชื้อหรือภูมิคุ้มกันการติดเชื้อ (แอนติบอดี) กันเลย แม้ตัวเลขจะดี ยอดป่วยยอดตายจะน้อย จนมะโนไปว่า ระบบสาธารณสุขเราดีขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว (แต่ยังหาข้อมูลไม่ได้ว่า ใครจัดอันดับให้)
การศึกษาเบื้องต้นพบว่า ประเทศที่ไม่มีโรคมาลาเรียระบาด จะมีจำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตของโรคโควิด-19สูงกว่าปนะเทศที่มีผู้ป่วยโรคมาลาเรียระบาด ซึ่งเข้าใจว่า ภูมิคุ้มกันต่อโรคมาลาเรียที่เกิดขึ้นสามารถช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ด้วย
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/will-smith-attends-the-premiere-of-netflixs-bright-at-news-photo-892053436-1536243058-1024x681.jpg)
วิล สมิธ (Will Smith) นักแสดงคนดังฮอลลีวูด
กล่าวไว้น่าคิด “คุณย่าของผมเคยบอกไว้ว่า อย่าปล่อยให้ความล้มเหลว มาเป็นบาดแผลในใจ และอย่าให้ความสำเร็จมาควบคุมความคิดของเรา”
การจะดูว่าคนไหนใครหนอ ติดเชื้อโควิด-19 บ้างแล้ว ที่องค์การอนามัยโลกใช้เป็นมาตรฐาน (Gold standard) ในการวินิจฉัยคือ การตรวจสารรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสซาร์โควี-2 (ยีนจำเพาะ) ด้วยเทคนิค rRT-PCR มาจากคำว่า real time reverse transcriptase polymerase chain reaction เก็บตัวอย่างจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ เช่น ป้ายในลำคอ ป้ายหลังโพรงจมูก เสมหะ น้ำลาย หรือ น้ำล้างปอด
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/111478361_9ea050e0-c045-4cc5-9e9e-35ddd95c7e9b.jpg)
การตรวจให้ตรวจยีนจำเพาะ พบผลบวก 2 จุด จึงจะถือว่าให้ผลบวก ช่วงแรกๆไทยเราใช้ ยีนจำเพาะ 2 จุด และ 2 ห้องแล็บยืนยัน แต่หลังพบผู้ป่วยมากขึ้น ก็ปรับมาใช้ห้องแล็บเดียวแต่ตรวจยีนจำเพาะ 2 จุด แทน
การเก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจ ควรเก็บเร็วที่สุดที่คนไข้เริ่มมีอาการ เพราะปริมาณไวรัสสูง การเก็บตัวอย่างส่งตรวจนี้มีความสำคัญมาก ถ้าเก็บไม่ดีจะให้ผลลบลวงได้
ข้อดี ของการตรวจ rRT-PCR คือ ความจำเพาะต่อไวรัสสูง 100% สามารถตรวจพบได้ในการติดเชื้อช่วงแรกๆ
ข้อด้อย คือ ซับซ้อน ราคาแพง คนเก็บตัวอย่างเสี่ยง ต้องการห้องแล็บและเครื่องมือเฉพาะ และความไวอยู่ที่ราวๆ 50-70% เมื่อคิดจากปัจจัยคุณภาพตัวอย่างสิ่งส่งตรวจด้วย หรือ ไวรัสอาจไม่มากในผู้ป่วยบางราย
จะตรวจได้ผลดีที่สุดในน้ำล้างปอด แต่ก็เสี่ยงต่อการฟุ้งกระจายของเชื้อไวรัสหากเก็บวิธีนี้ และ rRT-PCR อาจให้ผลลบในระยะท้ายๆของโรคที่ผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันออกมาแล้ว
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/3522979-1024x683.jpg)
อัตราการพบผลบวก (COVID-19 testing positive rate) ของ rRT-PCR จะแตกต่างกันไปตามชนิดสารคัดหลั่งที่เป็นตัวอย่างสิ่งส่งตรวจดังนี้ น้ำล้างปอด 93% เสมหะ 72% ป้ายหลังโพรงจมูก 63% ตัดชิ้นเนื้อในหลอดลม 46% ป้ายในลำคอ 32% อุจจาระ 29% เลือด 1% และ ปัสสาวะ 0% (ไม่พบผลบวกเลย)
การตรวจแอนติบอดี ด้วยวิธีอีไลซา (ELISA) หรือชุดทดสอบอย่างไว (rapid antobody test) เป็นการตรวจหาร่องรอยการติดเชื้อหรือภูมิคุ้มกันโรค ตรวจดู 2 ชนิด คือ IgM ดูว่ากำลังติดเชื้ออยู่หรือโรคยังคงดำเนินอยู่ กับ IgG ดูการติดเชื้อในระยะท้ายๆหรือโรคเริ่มสงบหรือหายแล้ว
แต่ถ้าจะตรวจดูว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนั้นป้องกันการติดเชื้อไวรัสด้วยไหม จะต้องตรวจนิวตรัลไลซิ่งแอนติบอดี (neutralizing antibody) ร่วมด้วย เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันชนิดที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเข้าเซลล์ของไวรัส ซึ่งอาจตรวจด้วยวิธีอีไลซาที่เรียกว่า surrogate virus neutralization test (sVNT)
การเจาะเข้าเซลล์คนเราของไวรัสโควิด-19 อาศัยโปรตีนหนามแหลมที่เปลือกหุ้ม(S)ของมัน จับเข้ากับประตูรับเอซีอี-2 ของผิวเซลล์เรา ใช้โปรตีนหน่วยย่อยS1เกาะติด (attachment) ใช้ส่วนรอยต่อโปรตีนS1/S2กระเทาะผนังเซลล์เรา แล้วใช้ส่วนโปรตีนS2 ฝังเข้าไปจนเข้าเซลล์เราได้
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/111301867_acf6a111-6b31-4ebe-9cab-0da7a31a3e9e.jpg)
วัคซีนป้องกัน หรือ ยาต้านไวรัสบางชนิด ก็อาศัยกลไกนี้ในการจัดการกับไวรัส เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์ได้
กรณีฟ้าทะลายโจร การศึกษาในหลอดทดลอง (ยังไม่ใช่ในสัตว์ทดลอง หรือ ในคน นะครับ มีคนฉวยเอาผลการทดลองไปอ้างขายผลิตภัณฑ์กันเยอะเลย) ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทดลองเอาสารสกัดแอนโดรกราฟาไลด์ และสารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจร พบว่า มีฤทธิ์ฆ่าไวรัสโดยตรงทำให้ไวรัสตายก่อนเข้าเซลล์ และ มีฤทธิ์ต้านไวรัสไม่ให้เพิ่มจำนวนในเซลล์
แต่…ไม่สามารถป้องกันไวรัสเข้าเซลล์ได้ ทั้งนี้คำว่า “ฆ่าไวรัสได้” กับ “รักษาโรค” ได้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เหมือน แอลกอฮอล์ 70% ฆ่าไวรัสโควิด-19 ได้ แต่เราไม่สามารถกิน(ดื่ม)แอลกอฮอล์ป้องกันหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้
ผู้วิจัยยังได้มีข้อแนะนำ (แต่คนทั่วไปอาจไม่ได้อ่าน ส่วนคนเอาไปอ้างสรรพคุณก็คงไม่เอาไปบอก) คือ ไม่แนะนำให้กินพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 และ การใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยในคนต่อไป
ก็เหมือนกับวัคซีนต้นแบบ mRNAของคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯที่แถลงเมื่อวานว่า ผลการทดลองภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี)ที่เกิดขึ้นในหนูมีผลดีในการต้านไวรัส แต่ต้องทดลองในลิง และคนต่อไป จึงจะสรุปว่าใช้ได้จริงหรือไม่
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/110832607_34560eec-061d-487a-8992-a885397c0893.jpg)
กลับมาที่การตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด-19 เพื่อวินิจฉัยโรค จะตรวจทั้ง IgM และ IgG ข้อดี คือ ใช้คัดกรองเบื้องต้นหรือเร็วๆ ในคนที่เป็นพาหะ คนติดเชื้อที่มีอาการ คนติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือ คนที่เคยติดเชื้อแล้วจนตัวไวรัสถูกขับออกหมดแล้ว ถูกและให้ผลเร็ว มีความไวเพียงพอสำหรับการคัดกรอง (แต่ไม่ใช่ตรวจยืนยัน)
ข้อด้อย คือ การติดเชื้อช่วงแรกๆจะให้ผลลบ กว่าแอนติบอดีจะขึ้น ไวรัสทั่วๆไปก็ราว 3-7 วันหลังมีอาการ แต่ของโควิด-19 ยังไม่ชัวร์ว่ากี่วันแน่ แต่ขึ้นช้ากว่านี้ และเป็นวิธีที่ความจำเพาะต่ำ ติดเชื้ออื่นก็อาจจะให้ผลบวกได้
วิธีตรวจ IgM หรือ IgG นี้ ภูมิคุ้มกันที่ตรวจเจอ (ผลบวก) บอกได้แค่ว่า กำลังมีการตัดเชื้อหรือเคยมีการติดเชื้อ แต่ไม่ได้บอกว่า ภูมิคุ้มกันนั้นจะสามารถป้องกันการติดเชื้อในครั้งต่อไปได้หรือไม่
เชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ มีความเหมือนไวรัสในค้างคาวมาก(96%) แต่เหมือนจนไม่น่าเชื่อจะมาติดเชื้อในคนได้ ขณะเดียวกันมันก็เหมือนไวรัสในตัวนิ่ม(90%) แต่น้อยกว่าในค้างคาว แต่มีโปรตีนที่หนามแหลมเหมือนกันมากกว่า (99%) จึงคาดว่า คนน่าจะติดจากตัวนิ่มมากกว่า
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/3848189-1024x614.jpg)
ความแปลกของมันมีหลายอย่าง ระยะฟักตัวที่แปรผัน (2 สัปดาห์) ระยะแสดงอาการที่ไม่แน่นอน (3 สัปดาห์) ระยะเวลากำจัดเชื้อออกจากร่างกายที่ยาวนาน (เกิน 3 สัปดาห์) และขับออกมาหลายทาง ทำให้เราฟันธงอะไรๆได้ยาก เมื่อคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว ตอนที่มาตรวจอาจจะพบคนติดเชื้อได้ 4 ลักษณะด้วยกันคือ
แบบแรก
ติดเชื้อมีอาการตามแบบแผน (typical symptomatic) ไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจเหนื่อย
แบบที่สอง
ติดเชื้อมีอาการผิดแบบแผน (atypical symptomatic) อาจไม่มีอาการอะไร อยู่ๆก็เหนื่อยง่ายหมดสติ หรือ ลิ้นไม่รู้รสจมูกไม่รู้กลิ่น หรือ มีผื่นขึ้นตามตัว มือเท้า ในปาก คล้ายโรคคาวาซากิ
แบบที่สาม
ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ (Presymptomatic) ไม่มีอาการอะไร ระยะฟักตัว 1-14 วัน ตรวจเชื้อให้ผลบวกไปหลายวันแล้วจึงค่อยมีอาการ หรือ ตรวจครั้งสองครั้งสามจึงพบให้ผลบวกแล้วจึงมีอาการตามมา
แบบที่สี่
ติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ (asymptomatic) กลุ่มนี้ไม่มีอาการตั้งแต่ต้นจนจบแต่แพร่เชื้อได้ (contagious)
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/112100128_c3b75915-7911-43ab-8e12-439a44a62580.jpg)
เล่ามายืดยาว กำลังจะเข้าสู่คำตอบที่ได้เขียนไว้ในย่อหน้าแรกของบทความ…ตัวเชื้อ หรือ ซากเชื้อ
ไวรัสมันเข้ามาอยู่กินกับคนเรา มันจะแอบซุ่มขยายพันธุ์เงียบๆ เรายังไม่รู้ตัว ช่วง 1-14 วันหลังการติดเชื้อ (เฉลี่ย 4-6 วัน)
7 วันก่อนมีอาการป่วย
จะตรวจ rRT-PCR เจอในน้ำป้ายโพรงจมูกหรือเอาสิ่งคัดหลั่งจากทางเดินายใจมาแยกเชื้อไวรัสดู
6 วันก่อนมีอาการป่วย
จะตรวจ rRT-PCR จากน้ำล้างปอดหรือเสมหะให้ผลบวก
2 วันก่อนมีอาการป่วย
จะตรวจ rRT-PCR จากอุจจาระให้ผลบวก และคงอยู่ระยะยาวในปริมาณที่มากแม้จะไม่มีอาการ แสดงว่าอาจมีการแบ่งตัวได้ในทางเดินอาหาร แต่ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อทางอุจจาระ
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/87333571_131319815076857_3824757068162662400_n.jpg)
หลังสัปดาห์ที่ 1 หลังมีอาการป่วย
จะเริ่มตรวจพบแอนติบอดีชนิด IgM และ IgG แต่จะตรวจแยกเชื้อไวรัสไม่เจอแล้ว
IgM กับ IgG จะเพิ่มสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 แล้ว IgMลดลงจนหมดไปในสัปดาห์ที่ 6 แต่ IgG ยังคงมีอยู่
หลังสัปดาห์ที่ 3 จากวันที่คนไข้มีอาการป่วย โอกาสตรวจด้วย rRT-PCTในตัวอย่างป้ายหลังโพรงจมูก เสมหะและน้ำล้างปอด จะพบเชื้อน้อยลง
ช่วงที่คนไข้มีอาการป่วย (illness) จะกินเวลา 10 วัน หรือ มากกว่า การมีปริมาณไวรัสมากในช่วงเริ่มป่วยแสดงว่า ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้มากในช่วงสัปดาห์แรก ผู้สูงอายุจะมีปริมาณไวรัสในตัวและอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้มากเมื่อมีอาการ แต่ก่อนมีอาการก็แพร่เชื้อได้ ซึ่งพบไม่บ่อย ช่วงแพร่กระจายเชื้อ (infectious period) ราว 8-10 วัน หรือ มากกว่า เริ่มตั้งแต่ 1-3 วันก่อนมีอาการ
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/3599609-1024x576.jpg)
แล้วคนที่ติดเชื้อโควิด-19 จะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวนานเท่าไหร่
งานวิจัยบ่งชี้ว่า การมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวนานหลังติดเชื้อ จะสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคและการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี
ปริมาณไวรัส (viral load) ของผู้ป่วยอาการรุนแรงจะมากกว่าผู้ป่วยอาการเล็กน้อยราว 60 เท่า นั่นคือ อาการป่วยที่แย่สัมพันธ์ตามปริมาณไวรัสในร่างกาย และมีเชื้อไวรัสค้างอยู่ในตัวได้นานกว่าคนที่อาการไม่รุนแรง
ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย จะกำจัดไวรัสได้เร็ว 90%ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะตรวจ rRT-PCR ให้ผลลบภายในวันที่ 10 หลังวันที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ
ผลงานวิจัยจากจีนสรุปว่า ผู้ป่วยโควิด-19 จะมีเชื้อไวรัสในร่างกายหลังวันแรกที่มีอาการแล้ว 19-28 วัน (เฉลี่ย 26 วัน)โดยไม่สัมพันธ์กับเพศ ในผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีจะอยู่นาน 28 วัน วัยรุ่นอยู่นาน 20 วัน
เมื่อเทียบกลุ่มอาการรุนแรง ไวรัสอยู่ได้นาน 27 วัน ส่วนกลุ่มไม่รุนแรง อยู่นาน 20 วัน
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/covid-19-5073811_1920-1024x684.jpg)
ขณะที่วิจัยของสหนัฐอเมริกา การตรวจrRT-PCR ยังคงให้ผลบวกได้ในผู้ป่วยโควิด-19 ได้ถึง 43 วันหลังมีอาการ หรือ 28 วันหลังอาการหายไป
ส่วนภูมิคุ้มกันนั้น 99% ของผู้ป่วยมี IgG ตรวจพบได้ 3-4 สัปดาห์(24วัน)หลังมีอาการ หรืออย่างน้อย 2 สัปดาห์ (15วัน)หลังอาการหายไป และไม่พบหลักฐานการลดลงของแอนติบอดีนี้หลังตรวจซ้ำ แต่ผู้วิจัยจะติดตามผลในอีก 6 เดือน
งานวิจัยยังบอกอีกว่า 37.4% ของผู้ป่วยมีระดับแอนติบอดีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (seroconversion) และผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19แล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อครั้งใหม่
สิ่งที่จะบ่งชี้ว่า คนไข้ดีขึ้นแล้วสามารถหยุดกักกันตัวเองได้อย่างน้อย 7 วันหลังมีอาการ และอย่างน้อย 72 ชั่วโมง (3 วัน) ที่ไม่มีไข้โดยไม่ได้ใช้ยาลดไข้
เมื่อผลตรวจแล็บ rRT-PCR ให้ผลบวก จึงไม่ได้หมายความว่า คนๆนั้นจะยังแพร่กระจายเชื้อได้ เมื่อไวรัสยังสามารถพบได้ในร่างกาย ราวๆ 19-28 วัน
แสดงว่า ช่วงเวลาแพร่เชื้อได้หรือไวรัสก่อโรคได้ก็จะอยู่ที่ราวๆ 8-10 วัน รวมกับช่วง 2-3 วันก่อนมีอาการ ก็ราวๆ 10-13 วัน เชื้อที่ตรวจพบหลังจากนั้น จึงเป็นแค่ซากเชื้อหรือชิ้นส่วนไวรัสที่ไม่สามารถก่อโรคได้
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/bbc-news-america-china-releases-largest-study-on-covid-19-outbreak.jpg)
ผู้ป่วยบางรายหายป่วยไปเกิน 30 วันแล้ว หรือเคยมีรายงานนานถึง 45 วัน ก็อาจตรวจพบซากเชื้อหรือชิ้นส่วนไวรัสได้ ไม่สามารถติดต่อก่อโรคได้ หรือ ไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้
ปกติเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจคนเรา ก็จะมีการเจริญเติบโตจนแก่หลุดลอกออกมาและกว่าจะหลุดลอกออกมาใช้เวลาเป็นเดือน ชิ้นส่วนไวรัสที่ค้างอยู่ก็อาจหลุดมาให้ตรวจพบได้
บางรายหายป่วยแล้วตรวจซ้ำให้ผลลบ พอผ่านไปสักระยะหนึ่งกลับมาตรวจซ้ำให้ผลบวกใหม่ ก็เกิดขึ้นได้ โดยไม่ได้เป็นการติดเชื้อครั้งใหม่ หรือ มีการติดเชื้อซ้ำแต่อย่างใด
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/31550-1024x683.jpg)
ช่วงแรกของไทยเรา ก็ให้ตรวจแล็บสองครั้งให้ผลลบห่างกัน 48 ชั่วโมง ก่อนให้ผู้ป่วยกลับบ้าน แต่ตอนหลังก็ปรับเปลี่ยนมาใช้ระยะเวลาและอาการทางคลินิกแทนผลแล็บด้วยเหตุผลที่ผมเล่ามานี้
ผู้ติดเชื้อต้องแยกกักตัวนอน รพ.อย่างน้อย 14 วัน ถ้าไม่มีอาการ หรือ จนกว่าอาการจะหายไปแล้ว 3 วัน แต่ไม่น้อยกว่า 14 วัน และยังแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยอยู่บ้านจนครบ 28 วัน อีกด้วย
หมู่บ้านชุมชนต่างๆที่มีผู้ป่วยก็ไม่ต้องกังวลตั้งป้อมรังเกียจผู้ที่หายป่วยแล้วนะครับ และไม่ต้องขอดูใบแล็บผลลบยืนยันว่าหายด้วยครับ
ที่น่าห่วงกังวลมากกว่า ก็เราๆท่านๆนี่ละครับ แม้จะกักคนมาจากนอกประเทศไว้ได้หมดก็ตาม แต่หากเรายังมีผู้ป่วยรายใหม่อยู่ เราก็ยังเสี่ยงครับ ยกการ์ดกันต่อก่อนนะครับ อย่าเพิ่งฉลอง…เกรงจะมีเสียวอีกรอบ
![](https://www.7dbookanddigital.com/wp-content/uploads/2020/05/covid-1024x683.jpg)
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Pixabay | freepik | BBC News
บทความโดย : นพ.พิเชฐ บัญญัติ
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ผู้เรียบเรียงหนังสือ : คู่มือเอาตัวรอดจากไวรัส Covid-19
ติดตามสาระความรู้เรื่องสุขภาพจากคุณหมอได้ที่เพจ : นพ.พิเชฐ บัญญัติ