“เบื่อ เมื่อไหร่จะรวย” “จะรวยได้ไง เงินเดือนแค่นี้” “ทำงานให้ตายยังไงก็ไม่รวยหรอก”
แน่นอน เราต่างเห็นคนทำงานหนักลากเลือดทุกวันแต่เงินเดือนที่ได้กลับน้อยนิดแทบไม่พอค่าขนม สำหรับใครที่สบาย ๆ ไม่ต้องดิ้นรนหาเงิน ก็ถือว่าโชคดีไป
คำถามแบบนี้ก็ตอบยาก ต้องย้อนกลับไปถามตัวเองก่อนว่าลึก ๆ แล้ว เราเข้าใจอะไรเกี่ยวกับการใช้เงินบ้าง ปัญหาจริง ๆ มันอยู่ตรงไหน เรามองว่าปัญหาคือเงินใช่ไหม? เ
พราะเงินเดือนที่น้อยนิดใช่ไหมที่ทำให้เราไม่ไปไหนสักที?
จริง ๆ แล้วมันก็ใช่ เงินเดือนน้อยก็เติบโตได้ไม่เร็วเท่าคนมีเงินเดือนสูง แต่เงินไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ตัวเราต่างหาก การทำงานหนักเพื่อที่เราจะได้เงินเดือนเพิ่มนั้นไม่ใช่ทางออกทางแรกหรอก นั่นคือเรื่องของอนาคต สิ่งที่ต้องแก้ตอนนี้คือเรื่องของ mindset ต่างหาก
แต่เราก็เข้าใจได้ การทำงานหนักเพื่อเติบโตมันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนทำ แต่เราก็ต้องมีความตั้งใจ มี mindset และความอดทนมากพอหากเราต้องการนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ และเพื่อการนั้น เราต้องถอด mindset เดิม ๆ ทิ้งลงขยะไป
เพื่อที่จะได้เป็นคน ๆ หนึ่งที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จด้านการเงิน คุณต้องมี 4 ปัจจัยที่คุณต้องจด ถ้าอยากรวยและประสบความสำเร็จ
1. คนจะรวยต้องพึ่งพาเวลา
เวลาคือปัจจัยที่ทุกคนมีเท่าเทียมกัน ใน 1 นาทีของคน ๆ หนึ่งไม่ได้นานไปกว่า 1 นาทีของคนอีกคนหนึ่ง แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างได้คือการใช้เวลาอย่างไรให้คุ้มค่า เพราะฉะนั้น เวลากับความคุ้มค่าคือสองสิ่งที่คนจะรวยต้องพึงมีเป็นสิ่งแรก
แน่นอน ไม่ว่าจะรวยหรือจน เราก็สามารถซื้อข้าวกินได้และอิ่มท้องเหมือนกัน แต่เวลาซื้อไม่ได้นะ เวลามันเดินไปตลอดและไม่เคยรอใคร ใช้ให้คุ้ม เพราะเวลานั้นมีค่ามากกว่าเงิน แน่นอนว่าคุณหาเงินเพิ่มได้เสมอ แต่คุณหาเวลาเพิ่มไม่ได้
2. คนจะรวยเพราะทักษะ
หากเราทำงานเป็นเซลล์ขายของ ถ้าคุณเป็นเซลล์ธรรมดาก็คงไม่ได้เติบโตอะไร แต่เมื่อคุณอยากเป็นเซลล์ที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องมีทักษะที่ไม่เหมือนใคร ยกตัวอย่างเช่น Jordan Belfort ชายตัวจริงในหนังเรื่อง Wolf of Wall Street เขาจะมีบททดสอบแบบหนึ่งนั่นคือการขายปากกา แน่นอนว่าเซลล์ส่วนใหญ่ก็จะยัดเยียดสรรพคุณเกี่ยวกับปากกาให้กับลูกค้า “ปากกานี้เล่มนี้ลื่นที่สุดในโลก ปากกาเล่มนี้ทำจากวัสดุชั้นยอด ปากกาเล่มนี้เป็นปากกาที่… ” บลา ๆ ๆ นั่นเป็นวิธีขายที่ยัดเยียดลูกค้าเกินไป อันดับแรกของการเป็นเซลล์ที่ดีคือการถามคำถาม ลูกค้าคุณต้องการอะไร คุณค่าที่อยากได้คืออะไร “คุณมีปากกาไหม? คุณเคยใช้ปากกาแบบไหน? คุณอยู่ในตลาดของปากกามานานแล้วหรือยัง? ถ้าคุณอยากได้ปากกา คุณอยากได้ปากกาแบบไหน?” เมื่อเราได้คำตอบมา เราก็จะรู้ว่าเขาต้องการอะไร “จากที่คุณได้ตอบคำถามผมมา ผมคิดว่าปากกาเล่มนี้เหมาะกับคุณ ผมขอบอกว่าทำไมมันถึงเหมาะกับคุณ” หลังจากนั้นเราก็อธิบายสรรพคุณให้เขาฟัง ประเด็นหลักคือไม่ใช่ว่าเรามีอะไรบ้าง แต่ต้องถามลูกค้าว่าต้องการอะไร นี่คือหลักของการเป็นเซลล์ชั้นยอด
และนี่เป็นตัวอย่างปัจจัยด้านทักษะ เมื่อคุณมีทักษะที่ดี แสดงมันออกมาให้คนอื่นเห็น มันสามารถทำให้เราเติบโตและจะพาเราเข้าสู่เส้นทางแห่งความร่ำรวย
3. คนจะรวยเพราะทรัพยากรของตัวเอง
ปัจจัยด้านทรัพยากรก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เรารวยได้ ทรัพยากรที่ว่าไม่ใช่เงิน สิ่งของเครื่องใช้ที่เรามี แต่เป็นความสัมพันธ์และ “คอนเนคชั่น” ต่างหาก การเชื่อมความสัมพันธ์เพื่อสร้างสังคมเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเราไม่มีใครหรืออยู่ด้วยตัวคนเดียว เราจะไปหาคำปรึกษาที่ดีจากใครนอกจากการพึ่งพาตัวเอง แน่นอน ถ้าหากเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็สามารถพึ่งพาตัวเองได้ บางทีอาจจะไปได้เร็วกว่าการมีคนอื่นคอยซัพพอร์ตด้วย แต่ Warren Buffett เคยบอกไว้ว่า “หากคุณอยากไปเร็ว ให้ไปคนเดียว แต่หากคุณอยากไปไกล ให้ไปด้วยกัน”
ทรัพยากรนี้เป็นเหมือนกับ “สะพาน” ที่เป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนมูลค่าทั้งตัวเราและทรัพย์สินไปสู่ความมั่นคงร่ำรวย
4. คนจะรวยเพราะความรู้
“การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนกับตัวเอง ยิ่งคุณเรียนรู้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้มากเท่านั้น” วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกเราแบบนี้ มันหมายความว่าอะไร?
ไม่มีการลงทุนด้านไหนดีไปกว่าการลงทุนกับความรู้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านการเงินมักจะมองปัจจัยด้านความรู้เป็นปัจจัยที่ควรใส่ใจมากเป็นพิเศษ หากเราไม่มีความรู้ เราจะอยู่รอดในตลาดโลกได้อย่างไร? เพื่อที่จะรวย คุณจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ในทุก ๆ วันเสมอ เมื่อมีความรู้ คุณจะมีวิสัยทัศน์และเทคนิคต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะร่ำรวยได้เพราะมีปัจจัย 4 อย่างนี้อย่างเดียว สิ่งที่ต้องมีคือ “ความกระหาย” และ “ความอดทน” หากคุณลองมองลงไปลึก ๆ ในตัวของผู้ที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาแค่ปีสองปี เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นคนที่ร่ำรวย เพราะฉะนั้น ความกระหายและความอดทนถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องยึดมั่นควบคู่ไปกับ 4 ปัจจัยนี้
“หากไม่มีความกระหาย คุณจะไม่มีเรี่ยวแรง เมื่อคุณไม่มีเรี่ยวแรง คุณจะไม่มีอะไรเลย” วอร์เรน บัฟเฟตต์