ทำไมคนบางคนมีอำนาจแต่คนไม่รัก คนพวกนี้พอไม่ได้อย่างใจก็ใช้อำนาจสั่งการ บางคราวถึงต้องใช้วิธีข่มขู่ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีคนทำตาม
วันที่หมดอำนาจก็ไม่มีใครไปมาหาสู่
ขณะที่บางคนเป็นคนธรรมดา…แต่ทำอะไรก็สำเร็จ หน้าที่ตำแหน่งงานก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรพอที่จะบันดาลผลประโยชน์ให้ใครได้ แต่มีกิจกรรมอะไรก็มีแต่คนให้ความร่วมมือ
สิ่งที่ทำให้คนเป็นที่นิยมยกย่องต่างกัน มาจากบางคนชอบสร้างกำแพง แต่บางคนกลับสร้างทางเชื่อม
คนที่ได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะรู้ว่าคนอื่นคิดอะไร คนอื่นรู้สึกอย่างไร และคนอื่นต้องการอะไร
คนที่มีลูกน้องก็มักพูดตามที่ตัวเองคิดว่า “แกต้องทำงานชิ้นให้มันเสร็จ และมันต้องสมบูรณ์แบบ”
แต่เจ้านายที่ฉลาด จะคิดว่าลูกน้องกำลังคิดอะไรอยู่ เขาอาจคิดว่า “เพิ่งกลับจากวันหยุดยังไม่ได้พักเลย”
เจ้านายที่ฉลาดจะมีวิธีพูดที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เขาจะพูดว่า “การที่เราไม่นั่งรอให้พร้อม ให้ทุกอย่างเข้าที่เพื่อเริ่มงาน จะทำให้เราเป็นทีมที่แตกต่างจากทีมอื่น”
..
เหมือนเราบอกลูก “ต้องลดความอ้วนนะ”
ในหัวลูกก็อาจคิดว่า ก็พยายามแล้ว ทั้งอดข้าวทั้งวิ่ง แต่มันยังไม่ลงไง ทำไมไม่ให้กำลังใจกันบ้าง
ส่วนพ่อที่ช่วยลูกลดความอ้วนสำเร็จ ก็จะพูดในสิ่งที่ลูกอยากได้ยิน หาเวลาเพื่อให้ได้อยู่กับลูกมากขึ้น อาจช่วยจับขาเวลาลูกซิต-อัพ เวลาลูกทำได้ไม่ครบสิบ ก็สลับมาให้ลูกช่วยจับขาตัวเองบ้าง แกล้งทำไม่ได้สิบครั้งแบบลูกบ้าง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อก็รู้ว่าลูกพยายามแค่ไหน แต่ยังไงก็มีพ่ออยู่เคียงข้าง เมื่อมีคนให้กำลังใจ ร่วมทำ เวลาจะผ่านไปเร็ว ทั้งน้ำหนักก็จะลดลงเร็ว
..
เราจะเปลี่ยนกำแพง เป็นสะพานให้เชื่อมถึงกันได้อย่างไร
..
William Ury แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า
1.ปฎิกริยาจากเราคือกำแพงชั้นแรก ปฎิกริยาจากเราเป็นเหมือนเครื่องจักร เราจะตอบโต้ ข่มขู่ บังคับ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือเมื่อบางสิ่งไม่ได้อย่างใจ
2.อารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นลบอยู่แล้ว หรือเป็นลบเมื่อความต้องการของอีกฝ่ายไปกดดัน
3.คนจะขัดขืน ดื้อดึง ไม่ยอมทำตาม และจะพยายามเอาชนะ หรือสะท้อนกลับด้วยพฤติกรรมที่ตรงกันข้าม
4.ความไม่พอใจสะสม มาจากการที่ต้องทนอยู่ร่วมกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ กำแพงก็จะยิ่งหนายิ่งสูงขึ้นทุกที
5.การตอบโต้แบบไม่ทำตาม ไม่ร่วมมือ จะเป็นการท้าทายเพื่อบอกอีกฝ่ายว่ามีอำนาจเหนือ ถ้าปล่อยให้ถึงขั้นนี้ ก็กลายยืนอยู่คนละมุม พร้อมที่จะห้ำหั่นกันตลอดเวลา
บางทีก็เป็นสงครามเย็นที่รอวันปะทุ
ผู้คนที่ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับความสัมพันธ์ในภายหลัง จะไม่ตอบโต้ไปตามเกม ตามอารมณ์ความรู้สึก
เริ่มที่ปฎิกริยาของตนเอง ที่ไม่ไปสร้างความกดดันด้วยคำพูดหรือการกระทำ
ต่อด้วยการเปลี่ยนความรู้สึกลบที่เขามี มาเป็นสิ่งที่เคียงข้างกัน ร่วมกันทำ
ตามมาด้วยการปรับปรุงคำพูด การแสดงออก
แก้ไขสถานการณ์ขั้นที่สี่ด้วยการบอกว่า ความสำเร็จมาจากเขา เขาเป็นส่วนที่สำคัญ
ขั้นสุดท้าย บอกให้เขาเห็นภาพว่า การคงอยู่ การมีอยู่ของเราทำให้เขาทำบางสิ่งง่ายขึ้นได้อย่างไร
..
สิ่งที่ผมเอามาเล่า เขามีสอนกันในสถาบันพระปกเกล้าครับ สอนไว้สำหรับการเจรจาทางการเมือง ทางธุรกิจ
..
ถ้าคุณเห็นที่มันเอะอะโครมครามกันอยู่ทุกวัน แล้วเครียดตาม – คิดใหม่ครับ มันคือการแสดงชนิดหนึ่ง มันเป็นการกำหนดเกม ให้ตนเองได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
..
ครูพี่ม้อค ธวัชชัย พืชผล (วิชาอาแปะ สอนรวย) คณะทำงานสำนักพิมพ์ 7D BOOK & DIGITAL.
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels
..