ท่ามกลางสังคมที่ผู้คนเบียดเสียดกัน ถ้ามีใครสักคนเดินฝ่ากลางวงล้อมด้วยเสื้อผ้าหน้าผมหรือบุคลิกบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น คนนั้นก็จะเป็นที่จับตามองสำหรับใครรอบข้าง
ในบ่ายวันหยุดการเดินห้างสรรพสินค้าคงเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน ทุกอย่างดูปกติจนกระทั่งกวาดสายตาไปโดยรอบอย่างไม่มีจุดหมาย กลับต้องสะดุดกับสีเหลืองที่อยู่บนฉลากของน้ำยาล้างจาน สีแดงบนฉลากของน้ำอัดลม หรือสีสันทั้งหลายบนซองขนมขบเคี้ยว
ทั้งที่สินค้าเหล่านั้นก็มีหลายยี่ห้อ หลายรูปแบบ แต่ก็ไม่อาจทำให้คนอย่างเราๆ ละสายตาไปได้เลย สาเหตุก็เพราะ นี่คือการสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ยังไงล่ะ
ถึงผลลัพธ์จะดูง่าย แต่กว่าจะได้วิธีการนั้น ไม่เคยง่ายเลย
ว่าด้วยเรื่องของการสร้างเอกลักษณ์ ฟังดูก็ไม่น่าเป็นเรื่องยากอะไร เพราะแค่ทำให้ตัวเองแตกต่างไม่เหมือนใคร เป็นตัวของตัวเอง เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอสร้างเอกลักษณ์ได้แล้วมั้ง
อันนี้เป็นแค่ความเข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในรายละเอียดต้องมีองค์ประกอบอีกมากมาย ยกตัวอย่างง่ายๆ จากการใช้ชีวิตทุกวันนี้ การที่เราจะไปสะดุดตากับใครสักคนหนึ่ง อาจมาจากเสื้อผ้า หน้าผม ท่าทาง บุคลิกภาพ หรือแม้แต่คำพูด ก็จะทำให้คนนั้นดูมีเสน่ห์ น่าดึงดูด ชวนมองอยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับการทำธุรกิจนี่คือกุญแจที่พลิกชะตาของหลายกิจการว่าจะฟื้นตัวหรือซบเซาต่อไป ด้วยคำว่าเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นเหมือนกับสูตรลับเฉพาะตัวที่ยากจะหาตัวจับได้ หรือต่อให้มีใครลอกเลียนแบบก็ยากที่จะทำสำเร็จ เต็มที่ได้แค่ใกล้เคียง
หลักบริหารหรือเทคนิคการตลาดอาจจะเลียนแบบกันได้ แต่ไม่ใช่กับเอกลักษณ์ของแต่ละร้านที่ไม่มีวันจะเหมือนกันได้
เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว หากกำลังจะเริ่มธุรกิจ ต้องสร้างเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองให้ได้ก่อน และการเริ่มต้นต้องมาจากการหาจุดยืนที่ชัดเจนของตัวเองจนกว่าจะเจอ
ทุกตำแหน่งย่อมมีผู้ที่เหมาะสมถือครองไว้เสมอ ดังนั้นถ้าจะลงไปสนามในตลาดแข่งขันไหนก็ตาม ต้องรู้จักประเมินสถานการณ์และพร้อมจะสร้างความแตกต่างอยู่ตลอดเวลา
เหตุผลที่เราต้องหาจุดยืน ก็เพื่อไว้กำหนดทิศทางของธุรกิจ ไม่เช่นนั้นทุกวันที่ดำเนินไปก็จะเป็นเพียงเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาสถานเดียว
แต่เมื่อมีจุดยืน จะทำให้รู้ว่ากำลังแข่งขันอยู่กับใคร คู่แข่งมีลักษณะเป็นแบบไหน แล้วส่วนไหนบ้างที่จะพอจะสร้างความแตกต่างได้ชัดเจน ยิ่งเป็นเจ้าใหญ่ ยิ่งต้องทำการบ้านให้ดี และนำสิ่งที่คนอื่นไม่มีมาเป็นจุดเด่นของกิจการตัวเองให้ได้
ทันทีที่นึกถึงสินค้าประเภทใดก็ตามมักจะมีชื่อแรกตามมาอย่างที่สัญชาตญาณกำหนด อย่างเช่น ถ้าอัดลมต้องเป็นโค้กและเป๊ปซี่ หรือมันฝรั่งทอดต้องเป็นเลย์ไม่ก็เทสโต
แบรนด์เหล่านี้การจะพาชื่อและตัวสินค้าไปอยู่ในความทรงจำประกอบด้วยหลายสิ่ง ทั้งการเลือกฟ้อนต์ การใช้สีสัน รูปแบบการโปรโมท และรักษาภาพลักษณ์อย่างดี
เหมือนกันกับธุรกิจร้านอาหารที่ต้องให้ความหวังแก่ผู้บริโภคในบางที ในที่นี้ไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ แต่คือการหวังว่าเมื่อได้เลือกร้านเรา จะได้อาหารที่ดี สด สะอาด ปลอดภัยสูง ราคาสมกับคุณภาพ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกไม่เสียดายเงินที่เสียไป แต่กลับรู้สึกคุ้มค่าในการจ่ายมา ยิ่งดีไปใหญ่
ความพึงพอใจของลูกค้าบวกกับมาตรฐานของตัวคุณจะทำให้สิ่งที่เรียกว่าเอกลักษณ์ค่อยๆ เปล่งประกายออกมาเองอัตโนมัติ
แล้วเมื่อไหร่ที่เจอจุดยืนของตัวเอง รู้ว่าจะขายอะไร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และจะได้ประโยชน์อะไรจากส่วนนี้ ให้ใส่บุคลิกลงไปในกิจการนั้นทันที แล้วถ้าร้านอาหารของคุณกำลังต้องการจุดเปลี่ยน บางทีวิธีเหล่านี้อาจทำให้มองเห็นอะไรที่กว้างขึ้นกว่าที่เคยมองมาเลยก็ได้
การที่จะสร้างเอกลักษณ์ได้ต้องถามตัวเองก่อนว่า ต้องการให้คนมองเข้ามาที่เราอย่างไร เพราะแต่ละร้านก็จะมีประเภทที่ต่างกัน และสำหรับธุรกิจอาหารอาจจะอยากให้ความรู้สึกแบบครอบครัว เหมือนกินข้าวฝีมือคุณแม่
หรือบางร้านก็อาจจะอยากได้ความรู้สึกแบบภัตตาคาร อุดมไปด้วยความเรียบหรู ไฮ-คลาส รายล้อมไปด้วยอาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศ ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ความต้องการแต่ละคน
ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายและประเภทของอาหารด้วย อาจไม่ต้องสอดคล้องกันหมด แต่ต้องไม่โดดจนยากที่จะเข้าถึง
อีกหนึ่งเทคนิคที่นิยมนำมาใส่เพิ่มเติมกันเพื่อให้คุณค่าของแบรนด์ดูเพิ่มขึ้น คือการใส่สตอรี่เรื่องราวลงไป ย้อนกลับไปในช่วงหลายสิบปีที่แล้ว โค้กได้ทำโฆษณาออกมาหนึ่งตัว เป็นการเล่าเรื่องถึงที่มาตั้งแต่เริ่มต้นผ่านกระบวนการมากมายกว่าจะเป็นน้ำสีดำที่เป็นเครื่องดื่มโปรดของใครหลายคน
เหลือเชื่อว่าในเดือนเดียวกันมีการเปิดเผยว่ายอดขายของโค้กในเดือนนั้นพุ่งสูงขึ้นกว่าเดือนก่อนเป็นเท่าตัว และหลังจากนั้นกระแสของโค้กฟีเวอร์ก็เริ่มนิยมมากขึ้นในเวลานั้น
จะเห็นได้ว่าผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องราวอย่างที่สุด สังเกตจากถ้าร้านอาหารไหนมีคำว่า ต้นตำรับ สูตรเด็ด หรืออายุกว่า 10 ปี 20 ปี ต่างๆ ก็จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ
ฉะนั้นการนำเทคนิคเรื่องราวใส่สตอรี่ขั้นตอนต่างๆลงไป ก็ถือเป็นวิธีที่น่าสนใจ ลำดับเรื่องให้สนุก ผสมกับวิดีโอและภาพนิ่งให้กลมกล่อม เท่านี้ก็เพิ่มเสน่ห์ให้ร้านอาหารขึ้นเป็นกองแล้ว
มาถึงสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้เอกลักษณ์ที่สร้างนั้นเต็มไปด้วยคุณภาพและหวังผลได้ด้วย คือองค์ประกอบอย่างที่กล่าวไปตอนต้น ไม่ว่าจะเป็น โลโก้ สีประจำแบรนด์ ตัวหนังสือ Mood & Tone รวมถึง การออกแบบดีไซน์
ทุกสิ่งที่กล่าวมาต้องสอดประสานกันในทิศทางเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบใดก็เป็นการสื่อสารทางตลาดอย่างยิ่ง เริ่มจากรู้จักกลุ่มเป้าหมาย และเลือกส่วนประกอบให้ออกมารสชาติเยี่ยม เหมือนกับการทำอาหารที่ต้องค่อยๆ ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน และหมั่นชิมบ่อยๆ เพื่อได้รู้ว่ายังขาดตรงไหน
การจะทำธุรกิจให้โดดเด่นจำเป็นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพิ่งแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของร้าน ประกอบกับเป็นการเพิ่มเสน่ห์ทางการตลาดให้น่าสนใจกว่าเดิม
เพราะธุรกิจไม่ได้แค่ให้ความสำคัญกับเรื่องหน้าบ้าน แต่เรื่องหลังบ้านก็เป็นสิ่งที่จะบทบาทไม่ได้น้อยกว่ากันเลย
อย่าปล่อยให้ความร้านอาหารที่ขับเคลื่อนไปด้วยความตั้งใจของตัวเองต้องขาดเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพียงเพราะขาดความสนใจในเรื่องนี้
สุดท้ายการเรียนรู้ก็ยังเป็นกลไกของทุกความสำเร็จอยู่ดี ไม่ว่าจะเรียนรู้ผู้อื่น เรียนรู้จังหวะ เรียนรู้ประสบการณ์ และจะขาดไปไม่ได้ คือการเรียนรู้ในตัวเอง.
…
ภาพประกอบจาก : Pexels
ที่มาจาก Fanpage : CEO Restaurant