ทุกช่วงเวลาของชีวิตมักมีจังหวะที่เหมาะสมรออยู่ ไม่ใช่ว่าอยู่ในสังคมเดียวกันแล้วผลลัพธ์ของชีวิตจะเหมือนกัน เพราะต่อให้หลายอย่างจะเหมือนกันแค่ไหน สุดท้ายก็ต่างกันอยู่ดี
คนเราถึงมักตามหาอะไรที่ใช่กับตัวเองอยู่เสมอ บ้านที่ใช่ รถที่ใช่ ที่ทำงานที่ใช่ สังคมที่ใช่ หรือคนที่ใช่ เช่นกับการทำธุรกิจ ทุกคนก็ย่อมมีจังหวะที่ใช่ในความสำเร็จของตัวเองเสมอ
ว่ากันว่าเรื่องยากที่สุดในการเดินทาง คือการเริ่มต้นออกเดินทาง เพราะแบบนี้ถึงทำให้บางคนเลือกที่จะเริ่มต้นไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเป็นเวลาที่ใช่สักที
ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นก็ทำให้หลายคนเริ่มต้นธุรกิจทั้งที่ไม่พร้อม และแน่นอนว่าผลที่ตามมาก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกันคือผู้คนที่ผิดหวังมีมากกว่าผู้คนที่สมหวัง
ในทางกลับกัน อีกมุมก็มองได้ว่าการที่เริ่มต้นได้เร็ว นั่นหมายความว่าเราถูกอนุญาติให้ผิดพลาดได้มากขึ้น เพราะถ้าเริ่มต้นไม่พร้อม ก็จะเจอกับปัญหา และว่ากันว่าปัญหาเหล่านั้นนี่แหละที่จะเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ให้เรียนรู้ต่อไป
ทีนี้กลับมาที่ปัจจุบัน ถ้าเกิดมีใครสักคนมาถามเราว่าเมื่อไหร่จะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองสักที คงจะตอบอย่างอื่นเป็นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่…ตอนนี้!
อย่างที่บอกไปเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่โชคจะเข้าข้างเรา สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา ทั้งความคิด กลยุทธ์ รวมถึงมีแผนรับมือด้วยก็ยิ่งดี
และจะขาดไปไม่ได้คือการตลาด เพราะต่อให้สินค้าและบริการจะชั้นเลิศแค่ไหน ถ้าไม่มีการตลาดที่ดีพอ ก็จะหยุดอยู่แค่จุดนั้นไม่สามารถเติบโตได้ไกลกว่าที่เป็น
เมื่อทุกคนเริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรหรือคอร์สต่างๆ ก็เปิดสอนกันอย่างมากมายเต็มไปหมด โดยที่เนื้อหาและเทคนิคก็อาจคล้ายกันบ้างต่างกันบ้าง ตามแต่ประสบการณ์ของผู้สอน
แต่ขุมทรัพย์ไม่จำเป็นต้องค้นหาเสมอไป บางทีอาจอยู่ใกล้ตัวเกินกว่าที่จะนึกถึง และขุมทรัพย์ที่ว่าก็คือความรู้ที่เอามาแบ่งปันนับจากนี้ รับรองเลยว่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าแผนการตลาดสำคัญมากกับการดำเนินธุรกิจเพราะทำให้รู้ว่าหลังจากนี้จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร รวมถึงการจะไปถึงเป้าหมายต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง
ขั้นแรกหลังจากเริ่มมีแผนงานในหัวแล้วก็ได้เวลาจัดทำแผนอย่างเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มกันที่วางแผนบุคลากร ทำธุรกิจทั้งทีต้องรู้ว่าจะใช้คนเท่าไหร่ แล้วแต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง เพื่อง่ายต่อการจัดการและไม่ส่งผลกระทบต่อรูปแบบธุรกิจ
เมื่อกำลังคนพร้อมแล้ว ก็มาดูกันที่งบประมาณในการดำเนินงาน จัดสรรปันส่วนให้ดี ค่าทรัพยากรเท่าไหร่ ค่าเช่าเท่าไหร่ หรือ ค่าแรงเท่าไหร่ เพื่อให้รู้ว่าอะไรมากที่สุด และสามารถลดทอนได้บ้างไหมเพื่อรักษาดุลการเงินให้ดี
ทีนี้ลองมากำหนดระยะเวลากันดู เมื่อเริ่มธุรกิจปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนอาจมุ่งแต่จะให้ยอดขายคืนกำไรเร็วที่สุด ส่วนนี้ต้องลองกำหนดดูว่าใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะคืนทุนสำเร็จ หนึ่งเดือน สามเดือนหรือหกเดือน แล้วคอยสังเกตการณ์ต่อไป
จากนั้นพอทุกอย่างเริ่มพร้อม ลองมาตรวจสอบปัจจัยภายนอกว่าพร้อมแค่ไหน สภาพที่ตั้งทำเล เพื่อให้เข้าใจในสังคมและรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนว่าได้เปรียบหรือมีอุปสรรคอย่างไร
เมื่อปัจจัยภายนอกผ่านตามที่ตั้งใจไว้ ก็มาตรวจสอบทรัพยากรของตัวเองอีกครั้ง หาผู้คนที่มีสมรรถภาพและสร้างวิสัยทัศน์ที่ดี เพื่อที่จะใช้จุดนี้ในการได้เปรียบร้านอื่นในตลาดการแข่งขัน
ต่อให้ไม่อยากที่จะแข่งกับใคร สุดท้ายสังคมธุรกิจก็บังคับให้ต้องมีการแข่งขันกันอยู่ดี จึงเป็นที่มาของการแบ่งสัดส่วนที่ชัดเจน เลือกชี้กลุ่มเป้าหมายที่ต่างจากผู้อื่นถ้าหากหวังจะโดดเด่นในทางของตัวเอง หรือถ้าเลือกกลุ่มเป้าหมายเดียวกับเจ้าอื่นก็ต้องหาความแตกต่างออกมาให้เจอเหมือนกัน
โดยที่การทำธุรกิจร้านอาหารนั้นต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและได้ผลตอบแทนที่สูง เข้าใจว่าบางวัตถุดิบจะให้ขายถูกก็คงจะไม่ได้ หรือยอมขายถูกก็จริงก็ต้องลดปริมาณ ซึ่งนั่นก็จะขัดต่อความคุ้มค่า เพราะความคุ้มค่าในที่นี้ไม่ใช่ในฝั่งผู้ประกอบการ แต่เป็นฝั่งของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและบริการ
เอาเป็นว่าบางทีอาจต้องใช้การพึ่งพาอาศัยกัน มุมของผู้บริโภคก็คงอยากได้ของถูกและดี แต่ด้วยปัจจัยต่างๆ ก็ไม่อาจสมหวังได้ทุกครั้ง และเช่นกันในฝั่งของคนทำธุรกิจก็อยากขายแพงเพื่อได้กำไรในเวลาที่รวดเร็ว
จุดนี้คงต้องหาจุดสมดุลกัน ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจกันและกัน โดยเจ้าของกิจการเองก็ไม่ควรเอาเปรียบจนเกินไป ให้ความจริงใจต่อลูกค้าในทุกขั้นตอน แล้วจะเจอทางออกที่น่าพอใจ
ถามว่านี่คือแผนที่สมบูรณ์หรือยัง ต้องบอกว่ายัง แต่เข้าใกล้มากเต็มที การจะทำให้แผนการตลาดดูสมบูรณ์มากขึ้น คือการนำเอาทุกอย่างที่ว่ามาตั้งแต่เริ่มต้น ไอเดีย กลยุทธ์ แผนงาน งบประมาณ หรือความเข้าใจในแต่ละตำแหน่ง มาใส่รายละเอียดที่ชัดเจน เพราะถ้าขืนปล่อยไว้อยู่ในความคิด มีโอกาสมากที่จะถูกลืมเลือนหรือขาดตกบกพร่องได้
ย้ำเตือนกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางงานที่ชัดเจน และยิ่งวางแผนในส่วนนี้แจกแจงได้ละเอียดเท่าไหร่ เมื่อทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองอย่างดี ก็จะเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และถ้าหากมีแผนรับมือสำรอง ก็ยิ่งส่งผลดีให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม
สุดท้ายคือการทบทวนแผนงานทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อนำเอาแผนงานทั้งหมดมากางดูแล้วพูดคุยกันภายในทีมหรือในองค์กรแล้วให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอบ้างยิ่งดีไปใหญ่
นำเอาเหตุผลด้านอื่นมาช่างน้ำหนักหาข้อดีข้อเสียไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบต่อทรัพยากร หรือแผนงานสอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจไหม และงบประมาณที่มีจะจัดการได้ดีมากแค่ไหน
ถ้าเมื่อทุกอย่างลงตัว ก็นำแผนงานการตลาดที่มีใช้อย่างเต็มรูปแบบ และอย่าลืมว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบตั้งแต่เริ่มต้น คอยเรียนรู้ หมั่นปรับแผนเพื่อตอบสนองผลลัพธ์ให้ดีขึ้นตลอดเวลา
เมื่อถึงตรงนี้จะพบว่าจุดเริ่มต้นก็ไม่ได้ยากอย่างที่เข้าใจ เพียงแค่ถ้าเริ่มโดยไม่มีแผนก็จะยากบ้างในช่วงแรก สับสนบ้างในช่วงกลาง และช่วงท้ายก็จะสมบูรณ์ขึ้นมาเอง
การทำธุรกิจก็แบบนี้ ไม่มีอะไรยากถ้าอยู่ในมือคนขยัน และสังคมก็จะตอบเราเองว่า ความเก่งไม่สำคัญเท่ากับความขยัน เพราะสุดท้ายคนขยันไม่นานเขาก็จะเก่ง ส่วนคนเก่งที่ไม่ขยันไม่นานก็กลายเป็นคนธรรมดาเช่นกัน
…
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexels
ที่มาจาก แฟนเพจ : CEO Restaurant