ไม่นานมานี้มีการรายงานถึงสถานการณ์การขับเคลื่อนของตัวเลขเศรษฐกิจจากทั่วโลก พบว่ามีการหดตัวมากขึ้น ยอดการสั่งซื้อสินค้าทั้งหลายก็ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่น้อยลง
สิ่งที่ตามมาและหลายคนจับตามอง คือ เมื่อเป็นเช่นนี้จะส่งผลอย่างไรกับการลงทุนหรือไม่ หลายกิจการอาจต้องชะลอตัวเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้ นั่นคือในภาพของธุรกิจในมุมกว้าง
ย้อนกลับมามองในระดับที่เล็กลงมาบ้าง ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็พบเจอแต่กับโฆษณาของธุรกิจที่หลากหลาย นอกจากจะต้องแข่งขันที่ตัวสินค้าและคุณภาพแล้ว
อีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การพาสื่อเหล่านั้นให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพราะแน่นอนยิ่งเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่เติบโตมากเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจ
เมื่อก่อนคนทำธุรกิจจะมองว่าต้องพาธุรกิจไปให้คนเห็นมากที่สุด อาจไม่ต้องสนว่าเขาจะเป็นใคร เพราะสมมุติทำให้ผู้คนเห็นธุรกิจของเราได้ 1 ล้านคน ต่อให้มีคนสนใจธุรกิจเพียงแค่ 10% ก็เป็นคนจำนวน 1 แสนคนทีเดียว
แต่เดี๋ยวนี้อาจใช้หลักคิดแบบเดิมไม่ได้ทั้งหมดอีกแล้ว มีหลายองค์กรที่มีการหารือและพัฒนาในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน จุดประสงค์คือพวกเขามองว่ากลุ่มคนที่มาก อาจไม่ได้คุณภาพเท่ากับกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง
ดังนั้นในหลายธุรกิจถึงมีการแต่งตั้ง ตำแหน่งวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ออกมาอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการสำรวจและพัฒนาองค์ประกอบให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างชัดเจน
จะเรียกว่าเป็นวิธีการที่สดใหม่ก็คงไม่ใช่ เพราะแนวทางแบบนี้ก็มีอยู่เสมอ แค่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากในช่วงหลังเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าการคัดเลือกเป้าหมายคือ Key Business อย่างแท้จริง
กรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดเจน คือ ธุรกิจชานมไข่มุก ย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ต่อให้จะเดินห้าง หรือเดินตลาด ก็ต้องเห็นใครสักคนถือแก้วชานมไข่มุกแล้วเดิมดื่มอย่างสบายใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเวลานั้นนี่คือเทรนด์ที่ใหญ่พอสมควรในบ้านเรา สังเกตจากธุรกิจในย่านชุมชนของทุกคนก็ได้ จะต้องมีร้านชานมไข่มุก มาตั้งเรียงรายเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคเสมอ
อีกทั้ง ไม่ว่าจะในสื่อรูปแบบใดก็ตาม มักจะมีโฆษณาธุรกิจประเภทนี้มากมาย ตั้งแต่แบรนด์ระดับ Top ไปจนถึงร้านค้าแฟรนไชส์ที่ลดหลั่นในระดับที่จับต้องได้
ถึงขั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งไม่ว่าจะไปนั่งร้านคาเฟ่ที่ไหนก็ตาม มักจะมีการสนทนาถึงการเริ่มต้นธุรกิจประเภทนี้จากหลายช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงานเลยทีเดียว
สิ่งเหล่านี้จะมาไกลขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าขาดการประชาสัมพันธ์ที่ต้องประเด็น ต้องชื่นชมผู้ประกอบการกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาจนเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างถึงแก่น
ด้วยความที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในโซนเมืองร้อน และจะมีอะไรที่ดับร้อนได้ดีกว่าเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าจะหาจุดเด่นอย่างไรเพื่อเพิ่มความต้องการลูกค้าที่มากขึ้น
อีกจุดที่ดึงดูดให้หลายคนสนใจมากขึ้น คือธุรกิจประเภทนี้มักใช้ต้นทุนน้อย แน่นอนว่าสัดส่วนรายได้ของคนในประเทศส่วนมากคือคนที่รายได้ไม่สูงนัก ซึ่งทำให้ข้อนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายคนที่อยากประกอบธุรกิจของตัวเอง
ถึงแม้ปัจจุบันกระแสความฮิตจะลดน้อยลง ด้วยสถานการณ์ต่างๆ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่แต่ละแบรนด์จะงัดแผนเด็ดอะไรออกมาเพื่อที่จะเรียกความนิยมให้ธุรกิจของตนเองกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง
มีการประเมินว่า ปัจจุบันตลาดชานมไข่มุกทั่วโลก มีมูลค่าอยู่ที่ 62,500 ล้านบาท และมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2023 มูลค่าตลาดจะเติบโตไปอยู่ที่ 103,000 ล้านบาท
สำหรับประเทศไทย ตลาดชานมไข่มุก มีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่น้อยทีเดียว ความนิยมก็เริ่มกลับมา พร้อมกับการแข่งขันของเจ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
จากเดิมที่ลูกค้าหลักอาจเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงานเพราะด้วยความที่ของหวานก็น่าจะเป็นอะไรที่อยู่คู่กับวัยนี้เสียมากกว่า แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง หลายร้านชั้นนำมีการปรับเปลี่ยนเมนู เพิ่มความหลากหลายให้กับลูกค้ามากขึ้น เพื่อดึงความสนใจจากวัยอื่นด้วย
จากบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารธุรกิจหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ในการทำธุรกิจต้องรู้จุดเด่นของตัวเองก่อน และนำสิ่งนั้นมาชูให้คนทั่วไปได้รู้และสัมผัสให้ได้ ถึงจะเรียกว่าเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง
หลายครั้งที่บางธุรกิจสร้างมาเพื่อหวังผลพลอยได้จากตลาดเท่านั้น อย่างเช่นเห็นว่าช่วงนี้อะไรนิยม ก็ทำธุรกิจแบบนั้นโดยไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ สุดท้ายก็กลายเป็นเบอร์หนึ่งไม่ได้
จริงอยู่ว่าช่องทางการตลาดสมัยนี้มีมากมายให้เลือก แต่แค่มีทุนและวางเงินไปอย่างนั้น ถ้าสินค้าไม่ดีจริง ทำโฆษณาเท่าไหร่ก็คงจะไม่พบกับความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักที
ทุกสิ่งเริ่มได้จากความใส่ใจที่จะต้องมาควบคู่กับความรู้ถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่ได้ผลมากที่สุด ที่จริงแล้วความสำเร็จอาจไม่มีลิฟต์ให้ขึ้น ถ้าอยากไปถึงคงต้องเดินขึ้นบันไดแต่ละขั้น จะได้รับรู้ว่าแต่ละก้าวก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด
วิธีที่ดีที่สุดในการวางตัวบนบทบาทเจ้าของธุรกิจ คือ การรู้ว่าในวันนี้เราอยู่จุดไหน แล้วตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตตัวเราในวันนี้จะไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิมได้อย่างไร
ความคิดตรงนี้มากกว่าที่จะทำให้ทุกคนพูดได้เต็มปากว่าเข้าใจการทำธุรกิจอย่างสมบูรณ์มากขึ้น การตั้งเป้าไว้สูงมีข้อดีตรงที่ทำให้มีความพยายามมากขึ้นอยู่เสมอ
แต่การรู้จักพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ทำให้โอกาสที่น่าสนใจมาอยู่ในมือเราได้ดีกว่า แล้วเมื่อทุกอย่างถูกที่ ถูกเวลา ความได้เปรียบทั้งหมดก็จะเป็นเราที่ควบคุมมันเอง
…
ภาพประกอบจาก : Pexels
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital