ทําไมหลายคนทำมากได้น้อย ในขณะที่หลายคนทำน้อยและสนุกมาก?
เพราะคนสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับภาระเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเพราะคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจเรื่องการเงินมากยิ่งขึ้น หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ จะให้ถูกต้องมากกว่านั้น คือพวกเขามักจะมี “รายได้ที่มองไม่เห็น” ไว้ในมือกันเสมอ
“รายได้ที่มองไม่เห็น” ในที่นี้หมายถึง การลงทุนทำกําไร ที่มองไม่เห็น แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน
คนเหล่านี้ เมื่อถึงวันหนึ่ง พวกเขาขอออกจากงานเพื่อไปอยู่ที่บ้าน เงินก็จะเพิ่มขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เหมือนกับเมื่อตัดสินใจให้เวลาในการใช้ชีวิตกับคนที่คุณรัก แต่เงินในบัญชีไม่ได้ลดน้อยลงเลย มิหนำซ้ำอาจเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนทำงานอยู่ก็ได้
การส่งบุตรหลานของคุณไปโรงเรียนนานาชาติที่ค่าเทอมแพงสูงลิ่ว ก็ไม่ต้องกังวลให้เหนื่อยเปล่า เพราะในตอนนั้นงบประมาณส่วนตัวของคุณก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เงินที่หลายคนยอมนำมาลงทุน บางทีอาจมองว่าเงินเหล่านี้จะต้อง “หาย” สูญเปล่าแน่ แต่เงินจากการลงทุนนี่แหละ ช่วยให้ใครหลายคน ได้คืนกลับมาหลายเท่าตัวแล้ว อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการใช้ชีวิตของคนฉลาดและทนต่อความเสี่ยงได้ตลอดเวลาเท่านั้น
ว่ากันว่า การใช้เงินเพื่อหาเงิน เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการสะสมความมั่งคั่ง มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?!
‘ลี กา ชิง’ มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกจัดอันดับให้เป็นผู้ที่ร่ำรวยติดอันโลกมาแล้ว เคยกล่าวประโยคที่นิยมครั้งหนึ่งว่า
“ก่อนอายุ 30 ทุกคนพึ่งพาความแข็งแกร่งหรือความฉลาดในการหาเงิน แต่พอ 30 เมื่อไหร่ ทุกคนต้องใช้เงินในการหาเงินแทนแล้ว “
เคยมีชายคนหนึ่ง ก่อตั้งโรงเรียนสอนธุรกิจเล็กๆในประเทศจีน เขาใช้หนี้ประมาณ 6 ล้านหยวน ด้วยรายได้จากการลงทุนเพียง 1 ล้านหยวน ได้สำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นระยะเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น
เขาเกิดในชนบท พ่อแม่ของเขาเป็นชาวนา ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนครอบครัวของเขาก็ดูไม่มีทิศทางที่จะนําไปสู่ความมั่งคั่งในอนาคตได้เลย หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนหัวดีหรือเรียนเก่งอะไรมาก ทำให้เขามีตัวเลือกในมหาวิทยาลัยไม่มากเหมือนเพื่อนคนอื่นนัก
แต่เขาไม่เคยโกรธหรือน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง กลับกันเขามีความฝันมาตลอดว่า สักวันจะเป็นเศรษฐีให้ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ฐานะทางบ้านอาจไม่ค่อยดีนัก ทำให้เขาไม่ได้รับการศึกษาที่ดีเท่าที่ควรตั้งแต่ยังเด็ก
เด็กน้อยคนนี้คิดอยู่เสมอว่า “การศึกษาไม่มีประโยชน์”
จนมีอยู่วันหนึ่งคุณครูได้ถามกับเขาว่า “ถ้าไม่สนใจเรื่องการเรียน แล้วจะเอาอะไรมาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาในอนาคต?”
เขาตอบกลับทันทีว่า: “ใช้เงิน!”
แต่คนที่ไม่มีต้นทุน ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่มีการศึกษาอย่างเขา จะหาเงินแบบไหนกันล่ะ?
เวลาผ่านไป วันหนึ่งเขานึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีความคิดในการทำธุรกิจ จึงตัดสินใจลองดูสักตั้ง หลังจากนั้นเพียง 3 เดือน เขาต้องตกตะลึงจากธุรกิจที่เขาสร้างขึ้น เพราะมัน ‘ล้มละลาย’ และบริษัทติดหนี้ 6 ล้านหยวน
หลังจากความล้มเหลวครั้งนั้น เขาก็สร่างเมาอย่างสิ้นเชิง แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง ทำให้ได้ตกตะกอนความคิดว่า ถ้าต้องการหาเงิน ต้องมีความกล้าก่อน
ดังนั้นเขาจึงวางธุรกิจแห่งความล้มเหลวที่ผ่านมาลง เริ่มการค้นหา ค้นคว้าในห้องสมุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่านหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับวิธีที่คนรวยหาเงินกัน
ในหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาได้เรียนรู้แนวคิดโดยบังเอิญ:
“ความมั่งคั่งจะสะสมได้มากแค่ไหนในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถหาเงินได้มากเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ความสามารถในการบริหารเงินของคุณต่างหาก”
เขาจดจําทักษะที่อาจจะใช้ได้กับตัวเองในภายหลัง แต่ตอนนั้นด้วยความที่เขาไม่มีเงิน จึงต้องไปทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อสะสมเงินไปใช้จ่ายให้พอก่อน
เขาเข้าใจดี ว่าการถูกกําหนดให้เป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ อนาคตก็ไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลง ดังนั้นงานปัจจุบันทั้งหมดเป็นเพียงชั่วคราว และเพื่อที่จะร่ำรวยเร็ว เขาต้องเรียนรู้วิธีสร้างและบริหารเงินมากขึ้น เนื่องจากตลาดหุ้นเปิดในระหว่างวัน เขาจึงขอทำงานกะดึกทุกวัน เพื่อได้มีเวลาค้นคว้าหุ้นให้มากขึ้น
ด้วยความตั้งใจว่าจะเปลี่ยนจาก “หนี้” กลายเป็น “คนรวย” ในสายตาคนอื่นให้ได้
ภายใต้คำแนะนําของเพื่อน จนได้มีโอกาสเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในฐานะนักวิเคราะห์หุ้น งานของเขาคือการคัดกรองหุ้นที่มีคุณภาพสูงให้กับบริษัท
หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน ความสามารถของเขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี รายได้ก็ถือว่าไม่แย่ในตอนนั้น โดยพอเขาชินกับงาน เขาเลือกที่จะกระโดดพัฒนาให้มากขึ้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการสะสมเงินให้ได้มาก เขาเริ่มลงทุนด้วยตัวเอง และด้วยความพยายามของเขาทั้งหมดที่มี พลิกสถานการณ์จากเป็นหนี้ ให้เป็นกําไรในเวลาเพียง 3 ปี จนเขาสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า “ฉันมีอิสรภาพทางการเงิน” สักที
ซึ่งเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด การกระทำทุกอย่างอาจไม่ถูกต้องเสมอไป อย่างเช่น ถ้าอยากใช้ชีวิตสงบสุข มีกินมีใช้ ให้เลือกงานออฟฟิศที่มั่นคง และ นำเงิน 30% – 50% ของเงินเดือน ไปต่อยอดเข้าสมุดออมทรัพย์ รอจนเกษียณ จะได้มีเงินมาใช้ยามชรา ก็ไม่ผิด
แต่ถ้าคุณต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน ใช้ชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ รุ่งเรือง ซื้อของโดยไม่ดูราคา ใช้จ่ายได้อย่างเต็มกำลัง หรือดูแลชีวิตคนรอบข้างให้สุขสบาย ก็จงเรียนรู้วิธีบริหารเงินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!
บริหารเงินที่ดีคือหนึ่งในการประหยัด ใช้มันอย่างเหมาะสม และใช้มันอย่างชาญฉลาด เพราะการบริหารการเงินรวมถึงการลงทุน ธุรกิจ หลายคนมักจะสมมุติว่าหากมีทุนมากเพียงพอ การบริหารเงินให้สำเร็จก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ แต่แนวคิดนี้ผิด
การจะร่ำรวย ไม่ใช่เพราะคุณมีเงินมากพอแล้วจะทำให้การบริหารออกมาได้ดี แต่มันเป็นเพราะคุณรู้วิธีบริหารมันยังไงต่างหาก จึงเป็นวิธีทำให้คุณมีเงินได้
รู้หรือไม่ว่าทุนเริ่มต้นของ Warren Buffett ราคา 114 ดอลล่าร์ แต่หลายปีที่ผ่านไป เขาใช้กลยุทธ์ของเงินเพื่อต่อเงิน เขาจึงได้กลายเป็นคนรวยที่สุดในโลกในที่สุด
นับตั้งแต่จากนี้ไป เราควรมาฝึกการวางแผนจัดการเงินของคุณด้วยสิ่งที่ง่ายที่สุดกันเถอะ
เริ่มจากการระบุจำนวนเงินที่ใช้ในแต่ละวัน ควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน เรียนรู้ที่จะประหยัด เรียนรู้ที่จะยอมแพ้บ้าง ซื้อแต่ของที่จําเป็น บางครั้งควรตัดสิ่งของบางอย่างออก เพื่อได้นิสัยที่ดีบางอย่างมาแทนจะดีกว่า
ส่วนเรื่องของการลงทุนส่วนบุคคล ก็ยังคงไม่ทิ้งเสียทีเดียว 10% ของเงินเดือนก็เพียงพอต่อการซื้อของที่เราชอบได้ แต่ไม่ง่ายที่จะควบคุมมันได้ดีในครั้งแรก และที่สำคัญถือเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม เพื่อเป็น ทักษะ และความรู้เบื้องต้น อยู่ที่คุณเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับคุณอย่างไร จากนั้นค่อยๆทำงานหนักขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานให้ดีพร้อมกว่าที่เป็นอยู่
สุดท้าย กำหนดค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คงที่ ระบุให้เป็นสัดส่วน เพื่อง่ายต่อการจัดการต่อในขั้นตอนต่อไป และสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย คือส่วนที่เหลือนอกเหนือจากการลงทุนส่วนบุคคล จงใช้มันสำหรับการลงทุนเพื่อธุรกิจ
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าในอนาคต เส้นทางชีวิตเราต้องเจออุปสรรคมากมายเพียงใด แต่หากเรารับมือให้พร้อมกับทุกอย่างที่จะถาโถมเข้ามา ต่อให้ปัญหาจะซัดเข้ามาเหมือนคลื่นในท้องทะเล ถ้าเราพร้อมมากพอ เราก็จะว่ายข้ามไปได้อย่างไม่ยากเย็น
..
อ้างอิง:
เรียบเรียงโดย : กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digitals
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Pexels