เราได้รู้ถึงความแตกต่างของธุรกิจขายตรงชั้นเดียว (SLM) กับหลายชั้น (MLM) ไปแล้ว แต่หากเจาะลึกในรายละเอียfเพิ่มเติมลงไปจะพบว่าธุรกิจขายตรงหลายชั้นซึ่งทำกันเป็นระบบเครือข่ายมีทั้งผู้นำ (Upline) และสมาชิกเครือข่าย (Downline) ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน แต่ก็ยังจะมีรูปแบบการดำเนินการที่แตกต่างกันออกไปอีกมาก กล่าวคือ มีวิธีการสร้างเครือข่ายหลายวิธี มีการเลื่อนชั้นของสมาชิกในเครือข่าย
จากลูกค้าทั่วไปขึ้นมาเป็นสมาชิก และขยับขึ้นมาเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นถึงก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำเครือข่ายของตัวเองได้ พร้อมกับรับค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้าและรางวัลจากการชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาร่วมในธุรกิจได้อีก
โดยแบรนด์ขายตรงที่เราเห็นวิธีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวโดยตรงเลยก็มีอย่าง Amway กับ Giffarine เป็นต้น ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าไปเป็นตัวแทนขายขายสินค้าให้กับแบรนด์ มีรายได้เป็นของตัวเองได้ทัน
ผมเล่ารายละเอียดมาพอประมาณ เราไปดูกันดีกว่าว่าธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้นมีแบ่งได้กี่รูปแบบ
1. ระบบแบบขั้นบันได (Stair Step)
ระบบขั้นบันไดเป็นแผนการตลาดระบบดั้งเดิมในระบบการตลาดแบบหลายชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีการกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ให้ผู้จำหน่ายอิสระดับสูงจะได้เปอร์เซ็นต์มากกว่าระดับที่ตํ่ากว่า
ผลตอบแทนที่ได้รับจะคำนวณจากส่วนต่างของตัวแทนแต่ละระดับชั้น โดยผู้นำกลุ่มจะได้รับผลตอบแทนของกลุ่ม (ผลตอบแทนของตัวเองรวมกับของทีมงานในเครือข่าย) มาจากบริษัท
จากนั้นถึงจ่ายส่วนของทีมงานระดับล่างของสายงานไปก่อน หลังจ่ายหมดส่วนที่เหลือก็จะเป็นผลตอบแทนส่วนที่ผู้นำจะได้รับจริง โดยบริษัทจะเป็นผู้คำนวณและจ่ายโบนัสให้ ดังนั้นโบนัสที่ได้รับจึงเป็นโบนัสที่หักส่วนของทีมงานออกแล้ว ตัวอย่างเช่น
- ผู้จัดการเขต (Area Manager) ได้ส่วนแบ่งจากยอดขาย 50% ซึ่งมาจากผลตอบแทนของตนเอง 10% ของทีม 40%
- ผู้จัดการ (Manager) ได้ส่วนแบ่ง 35% มาจากผลตอบแทนของตนเอง 5% ของทีม 30%
- ผู้ขาย (Distributor) ได้ส่วนแบ่ง 25% เป็นต้น
2. ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม (Break Away)
ระบบ Break Away สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาระบบ Stair Step เมื่อ “ผู้ขาย” เติบโตจนมีการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปชนกับ “ผู้จัดการ” ทำให้ต้องมีการแบ่งรายได้ (เรียกว่า Breakaway Rank) ระบบ Breakaway จะแก้ปัญหาโดยการ “แยกคะแนนของสมาชิกและเครือข่ายของสมาชิกคนนั้น” ออกจากผู้นำและเครือข่ายของผู้นำ
เพื่อไม่ให้มีการคำนวนทับซ้อน แล้วเปลี่ยนมาให้ผลประโยชน์ในอีกรูปแบบ Rank หรือ Level ซึ่งจะมีการคำนวณผลตอบแทนในแต่ละเลเวลเอาไว้แทนเพื่อเป็นการชดเชยรายได้
3. ระบบแมทริกซ์ (Matrix)
ระบบนี้เป็นระบบที่ต่อยอดมาจาก Stair Step เพื่อเน้นให้ Upline มีการขยายตลาดเพิ่มเติมด้วยการแนะนำคนอื่นๆ เข้าร่วมธุรกิจด้วยการให้ผลประโยชน์ในชั้นลึก หากมีการแนะนำหากมีผู้เข้าร่วมธุรกิจมากขึ้นก็ได้ผลประโยชน์ในชั้นลึกมากขึ้น
ผู้ที่อยู่ในระดับสูงแม้จะมีเปอร์เซ็นต์ตอบแทนสูงกว่าระดับล่าง แต่ถ้าผลงานส่วนใหญ่เป็นของทีมงานโดยตรงก็จะต้องจ่ายผลตอบแทนส่วนใหญ่ให้ทีมงานไป ผู้นำจะได้แค่ส่วนต่างที่เหลือ
แล้วถ้าต่อมาทีมงานเติบโตก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับตน นั่นหมายถึงการไม่มีรายได้ ทำให้ผู้นำต้องขยายงานในแนวกว้างไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นข้อเสียของระบบคือ การดูแลที่ไม่ทั่วถึง และเครือข่ายย่อยขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันทำให้ระบบแมทริกซ์กลับมาได้รับความสนใจเพิ่ม
4. ระบบยูนิเลเวล (Uni-Level)
ระบบนี้ให้ผลตอบแทนตามชั้นลึกโดยกำหนดชัดเจนแน่นอน เมื่อผู้ขายแต่ละคนชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจ โดยผู้ที่เข้าร่วมทุกคนจะถูกจัดให้อยู่ใน Level 1 เหมือนกัน จากนั้นหากสมาชิกใน Level 1 ชวนคนอื่นมาเข้าร่วมอีกก็จะกลายเป็นผู้เข้าร่วมใน Level 2 ซึ่งในแต่ละเลเวลจะได้รับผลประโยชน์เป็นเปอร์เซ็นต์แตกต่างกันออกไป
แต่ด้วยการตัดยอดของการขายแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วลบทิ้งไปไม่นำมาคำนวณในรอบใหม่ ส่วนลดของผลประโยชน์ที่ได้รับจึงไม่คงที่ ระบบนี้จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ ระบบ Tri-Nary แทน
5. ระบบจับคู่ (Binary System)
ระบบนี้จะอนุญาตให้ผู้ขายมีสมาชิกในการดูแลของตนเองได้แค่ 2 สาย (คน) เท่านั้น แต่ใน 2 สายสามารถสร้างเครือข่ายแยกย่อยออกไปอีกเป็นผู้นำ 1 ต่อสมาชิก 2 คน ต่อไป
นี่คือรูปแบบของธุรกิจขายตรงหลายชั้นที่เราเรียกกันว่าธุรกิจเครือข่ายนั่นเองครับ
รูปภาพจาก: Depositphotos
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital