หมดยุคที่ต้องรอให้ลูกค้าเดินเข้ามาหาแล้ว
ได้เวลาพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น
แม้ภาพลักษณ์รวมถึงลักษณะงานขององค์กรจะเป็นธุรกิจเพื่อให้ความบันเทิง แต่ก็เป็นอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ที่เหลือไม่กี่เจ้าในประเทศและยังดำเนินต่อในเส้นทางนี้ได้
ลองนึกดูดีๆ ว่าแท้จริงแล้ว Major ไม่ได้มีพื้นที่ครอบคลุมขนาดนั้น นอกจากป้ายโฆษณาที่แปะอยู่ตามห้างสรรพสินค้า หรือการยิงแอดโฆษณาผ่านสื่อตามสถานที่ต่างๆ
คำถามคือ แล้วไหนคือพื้นที่ของตัวเองจริงๆ นอกจากในโลกของโซเชียลมีเดีย ที่พวกเขาต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ยิ่งในเวลาแบบนี้แล้วด้วย การจะประคองให้สิ่งที่ทำไปถึงตลอดรอดฝั่งในทุกด้านพร้อมกัน ก็ดูจะเป็นงานหินเสียไม่มี
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ต้องตามกระแสให้ทัน รอบตัวหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายก้าว เมื่อนั้นแฟนเพจของเมเจอร์เอง ก็ต้องไล่ตามให้ทัน เพราะถ้าไม่แทรกตัวมาตอนนี้ จะยิ่งหาจังหวะยากขึ้นแน่ เหมือนหากจะฟื้นได้ก็ต้องรีบกินยาในตอนนี้เท่านั้น
โซเชียลมีเดีย ถูกหยิบจับมาใช้เป็นเครื่องมือในการโปรโมทมากขึ้น แต่จะให้เพจโรงภาพยนตร์ไปโพสต์ข่าวคนตบตีกัน หรือหยอกล้อการเมืองบ้างก็ดูจะผิดวิสัย ผิดรูปแบบไปหน่อย
เมเจอร์ จึงพยายามสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมา และหลังจากลองผิดลองถูกหลายหน ก็ดูเหมือนจะพบเจอแนวทางที่ดูจะเหมาะสมสักที นั่นคือการนำกระแสที่อยู่ในเวลานั้น มาผสมผสานรวมเข้ากับการโปรโมทภาพยนตร์ได้อย่างแปลกใหม่
ประเด็นนี้น่าสนใจมาก เพราะสิ่งนี้อาจสามารถพบเห็นได้ง่ายมากกับวงการอื่น อย่างเพจกีฬาหรือบันเทิงที่มักจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นปัจจุบันมาเย้าแหย่กันอย่างออกรส แต่นั่นไม่ใช่กับธุรกิจโรงภาพยนตร์ จึงเหมือนเป็นรสชาติใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ชั้นเชิงในการนำเทรนด์ที่เกิดขึ้นเวลานั้น มาเชื่อมโยงไปจนถึงการโปรโมทภาพยนตร์ในท้ายที่สุด ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ว้าวขนาดนั้น แล้วก็จริงๆ นี่ยังไม่ใช่จุดขายที่สุด
เพราะจุดเด่นจริงๆ อยู่ที่ความรวดเร็ว ไม่ว่าข่าวไหนมาแรง กระแสไหนกำลังฮิต ประเด็นไหนเป็นที่ถกเถียงในสังคม แฟนเพจของเมเจอร์เองก็จะมานำเสนอต่อได้อย่างไม่มีตกเทรนด์
จนแฟนเพจหลายคนบอกว่า “นี่แทบจะไม่ใช่เพจหนังอีกแล้ว”
ถึงบางอันจะดูฝืนๆ และไม่เข้ากันสักนิด แต่ก็กลับกลายเป็นเรื่องตลกให้แฟนๆ ได้เข้ามาทักมาแซวกันอย่างสนุกสนาน
จำนวนยอดไลก์ในตอนนี้ของแฟนเพจ เมเจอร์ กรุ๊ป อยู่ที่กว่า 5,902,645 คน เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะทะลุ 6 ล้านได้ไม่ยาก โดยที่เป้าหมายหลักต้องเป็นคอหนังทั้งหลาย เพื่อการติดตามข่าวสารในวงการภาพยนตร์ อัพเดทหนังเข้าใหม่ ต่างๆนานา
ส่วนของรายได้เชื่อว่าตรงนี้ทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องมาจากการจำหน่าย ตั๋วภาพยนตร์ ป็อปคอร์น และเครื่องดื่ม ต่างๆ
แต่เดี๋ยวก่อน เพราะทุกสิ่งย่อมมีจุดเปลี่ยน เมื่อวิกฤตเข้ามาส่งผลทุกธุรกิจในประมาณที่ต่างกัน คงไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่ Major Group ต้องเจอมันส่งผลอย่างไรกับพวกเขาบ้าง
การถูกสั่งปิดโรงภาพยนตร์ไปในหลักเดือนตามมาตรการ และถึงแม้จะกลับมาเปิดได้ บรรดาภาพยนตร์ Blockbuster ก็ยังเลื่อนการฉายออกไปอย่างไม่มีกำหนด ลูกค้าแทบไม่ต้องพูดถึง จึงทำให้รายได้เวลานั้นหายไปกว่า 65% เลยทีเดียว
เป็นเวลาเดียวกับที่แฟนเพจได้เติบโตขึ้นพร้อมๆกัน ยิ่งหนังเรื่องไหนขายไม่ค่อยได้ คนดูน้อยกว่าเป้า การทำงานในแฟนเพจยิ่งต้องหนักเป็นทวีคูณ มีไม้ตายอะไรต้องงัดออกมาใช้เต็มที่ หาข้อมูลกันชุลมุนไปหมด เกร็ดหนัง ประวัตินักแสดง เพลงประกอบ คำคม ทุกสิ่งอย่าง คัมภีร์ที่อยู่ในมือต้องมาแต่งเสริมเพิ่มเติมให้น่าสนใจ จนเป็นที่จดจำกับผู้คนมากที่สุด
อย่างที่บอกไป ความยากคือต้องพยายามนำเรื่องที่เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ มาแทรกในภาพยนตร์ อีกทั้ง ยังต้องมีการคอมเมนต์ในแฟนเพจอื่นๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงที่สูงขึ้น แต่ก็คงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ ด้วยการแซวแบบเจ็บแสบตามเดิม
“แอดมินเมเจอร์ ได้นอนบ้างหรือเปล่า” นี่คือคอมเมนต์จากแฟนๆ เมื่อเห็นโพสต์เรื่องราวในกระแสผ่านแฟนเพจเมเจอร์ จะเห็นว่า พวกเขากำลังสร้างตัวเองให้เป็นสื่อทางอ้อม กระจายข่าวสาร ก่อนที่จบด้วยข่าวประชาสัมพันธ์ของตัวเอง
ประเด็นขายของ Souvenir ก็สำคัญ จากที่เมื่อก่อนต้องไปที่หน้าโรงหนังเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามีอะไรบ้าง แก้วลวดลายของภาพยนตร์ หรืออื่นๆ แต่เมื่อมีโซเชียลในมือ ก็เพียงแค่โพสต์ขายกันไปตรงๆ หรือเปิดพรีออเดอร์ หากไม่ตรงใจกับตลาดก็ได้แก้ไขกันต่อไป นี่คือกลยุทธ์ที่หลายแห่งมักใช้กันในตอนนี้
ยิ่งในยุคที่สตรีมมิ่งมากมายแบบนี้ คนดูหนังหายไปกว่าครึ่ง การพาตัวเองไปอยู่ออนไลน์ของ Major ก็ทำให้ผู้คนพบง่ายขึ้น อัพเดทตัวเอง สักวันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของลูกค้าไปเอง
ไม่จำเป็นต้องติดแบนเนอร์สปอนเซอร์ในโพสต์แม้แต่นิดเดียว นี่คืออีกจุดแข็งในโซเชียลของพวกเขา เคยสังเกตไหมว่าเวลาไปดูโพสต์ของเพจดังๆ ส่วนใหญ่จะต้องติดสปอนเซอร์ไว้สักที่ในภาพ จะตัวใหญ่ตัวเล็กก็ขึ้นอยู่กับเจ้านั้นๆ ต่างกันไป
นั่นไม่ใช่วิถีของ Major เพราะเรื่องสปอนเซอร์คือให้หลังบ้านจัดการไป แต่หน้าบ้านก็ยังคงทำหน้าที่ผลิตคอนเทนต์ต่อ จุดนี้ทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่าขายจนเกินไป ทุกอย่างเมคเซ้นส์ ไม่ยากที่จะเก็บฐานแฟนได้เหนียวแน่น และหารู้ไม่ว่ายิ่งโพสต์ทุกวันคือจิตวิทยา แล้ววันหนึ่งผู้ชมก็จะไปใช้บริการจนได้อยู่ดี
ขนาดเจ้าใหญ่ขนาดนี้ยังต้องปรับตัว นับประสาอะไรกับคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องเริ่มกันใหม่ในตลาดโซเชียลทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลต้องอายหรือไม่กล้าเลย เพราะขนาดเจ้าใหญ่ที่เขามีประสบการณ์ในวงการยาวนาน เขายังไม่อายเลย
สำคัญตรงที่หาแนวทางที่เราจะทำได้ดี อาจไม่ต้องชอบ ขอเพียงถนัด อย่างเมเจอร์เขาเลือกที่จะเป็นโรงหนังที่ฉายสื่อในมือก่อนจะทิ้งด้วยการประชาสัมพันธ์
และคุณเลือกที่จะเป็นอะไร?
…
เรียบเรียงโดย : กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: Pexel