ภาพในฝันของคนเป็นเจ้านายทุกคน คือการมีลูกน้องที่ดี เชื่อฟังคำสั่งอย่างใจจริง และทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ต่างคนก็มีพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเป็นโปรเจ็คที่ใหญ่หรือเล็กน้อยแค่ไหน ทุกคนในทีมก็เป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย บางสิ่งจะขับเคลื่อนไม่ได้ถ้าขาดคนที่มีศักยภาพมากพอ
คงไม่มีใครไม่อยากได้คนเก่งเข้ามาทำงาน เพราะคนที่มีฝีมือมีโอกาสจะเข้ามาช่วยทำหน้าที่พัฒนาองค์กรให้เติบโต แต่ในยุคนี้ เหมือนว่าแค่เก่งอย่างเดียวจะไม่พอ ต้องมีเอกลักษณ์จุดเด่นในด้านอื่น รวมถึงทัศนคติที่ตรงกับธุรกิจประเภทนั้น
แล้วคนที่ใช่เหล่านั้น จะออกตามหาได้จากที่ไหนกันล่ะทีนี้ นี่ถือเป็นเรื่องยากที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับเจ้าของธุรกิจเลยทีเดียว
การจะหาคนที่ใช่มาร่วมงานด้วยกัน ก็เหมือนกับการหาเนื้อคู่อย่างไรอย่างงั้น จะรู้ว่าใครเหมาะสมกับเราได้ต้องมาจากการทำความรู้จัก บางคนมีทุกอย่างทั้งความสามารถและทัศนคติ แต่ขาดระเบียบวินัยแบบนี้ก็ไม่ไหว
ทุกอย่างจะต้องสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำธุรกิจ และนาทีนี้ธุรกิจที่มาแรงคงหนีไม่พ้นร้านคาเฟ่ สังเกตได้จากทั่วทุกสารทิศจะพบร้านคาเฟ่เต็มอยู่สองข้างทาง
ว่าแต่ว่า “คาเฟ่” ต่างจาก “ร้านอาหาร” อย่างไร?
คาเฟ่ คือชื่อเรียกหมายถึงร้านที่เน้นเสิร์ฟเครื่องดื่มหรือพวกแซนวิช ขนมปังต่างๆ บ้างก็อาจจะบอกว่าเป็นร้านอาหารขนาดย่อม บ้างก็บอกว่าเป็นร้านกาแฟ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละสถานการณ์ แต่โดยรวมแล้วก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่า ร้านคาเฟ่ ส่วนใหญ่จะขายเครื่องดื่มและของว่างเป็นหลัก
ด้วยความที่คาเฟ่เริ่มเป็นที่นิยมเรื่อยๆ ในช่วงหลังมาผู้คนเลือกที่จะให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากส่วนใหญ่จะขายเครื่องดื่มหรือของทานเล่นแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนสถานที่ไว้ซึ่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พักผ่อน พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง จนเริ่มเป็นที่นั่งทำงาน อ่านหนังสือกันจนเป็นการตอบรับที่ดี
ก็ทำให้หลายคนเริ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ และคาเฟ่ก็ดูจะตอบโจทย์หลายอย่างทั้ง เริ่มต้นได้ไม่ยาก ใช้ทุนไม่สูงนัก พื้นที่ก็ไม่จำเป็นต้องมากเสมอไป ที่สำคัญคือผลตอบรับตรงกับความต้องการของคนในสังคมสมัยนี้
เป็นโอกาสอันดีให้ธุรกิจรูปแบบนี้ถูกก่อตั้งใหม่อยู่เรื่อยมา จนทุกวันนี้ไม่ว่าเดินทางไปที่ไหนต้องมีร้านคาเฟ่ประกอบอยู่จนกลายเป็นของคู่กันในบ้านเราไปแล้ว
ผู้ประกอบการเริ่มมองหาช่องทางในการเริ่มต้นอย่างจริงจัง ได้ทำเลพร้อม อุปกรณ์ครบ จะขาดก็แค่กำลังคนที่เพียงพอ
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการคัดเลือกผู้คนเข้ามาอยู่ในธุรกิจถึงเป็นเรื่องสำคัญ จริงอยู่ว่าส่วนใหญ่เมื่อเริ่มต้นธุรกิจหลายคนจะรับหน้าที่ดูแลด้วยตนเอง ช่วงแรกอาจจะประคองให้ผ่านไปได้ก็จริง แต่ย่อมแลกมากับความเหนื่อยที่สาหัสพอสมควร
คงจะดีว่าถ้ามีคนเข้ามาช่วยเหลือในส่วนที่เกินกำลังเกินไป ลองคิดดูว่าถ้าคุณเปิดร้านคาเฟ่ด้วยตัวคนเดียว ต้องทำหน้าที่ตั้งแต่รับลูกค้า รับออเดอร์ ทำอาหาร เก็บโต๊ะ ทำความสะอาด คงจะเป็นอะไรที่ชวนปวดหัวอยู่เหมือนกัน
ซึ่งอย่างที่ว่าไป การจะหาคนที่ถูกใจเราทั้งหมดไม่ง่าย และวิธีที่ง่ายที่สุดในการจะได้คำตอบว่าใครคือคนที่ใช่ คือการให้โอกาส นี่คือสิ่งที่ดูจะธรรมดา แต่เป็นทางออกที่น่าจะดีที่สุด เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าใครทำอะไรได้ดี หรือถูกใจมากน้อยแค่ไหน จนกว่าจะได้เห็นในสิ่งที่เขาทำ การสังเกตจะเป็นสิ่งที่คลายข้อสงสัยทั้งหมดลงไป หากไม่ใช่ก็แค่ปรับปรุงให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
ทีนี้เกิดคำถามขึ้นมาว่าระหว่าง ให้โอกาสปรับปรุงตัว กับ เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ในฐานะเจ้าของกิจการ ควรจะเลือกทางไหนดีกว่า
คำตอบคือควรมีทั้งประการอย่างนี้ แน่นอนว่าการให้โอกาสคือสิ่งที่ทำให้สังคมนี้น่าอยู่ขึ้น ส่วนความเข้าใจก็จะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
แต่หากวันหนึ่งโอกาสที่ให้ไปกลับไม่เป็นประโยชน์เท่าที่คิด หรือบางทีคนเราก็ไม่อาจเข้าใจทุกอย่างบนโลกนี้ได้หรอก ก็คงถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย และออกตามหาคนที่ใช่กันต่อไป
ทุกคนรู้ดีว่าจะเริ่มต้นอะไรสักอย่างเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการเริ่มต้นใหม่คือการฝืนดันทุรังใช้คนเก่าที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ เพราะสุดท้ายผลก็เป็นแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
บางครั้งเวลาของโอกาสก็มีจำกัด เมื่อให้ไปแล้วกลับทำได้ไม่ตามเป้าหมาย ก็ควรจะเก็บไว้ให้คนจะใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าเว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่คิดว่าเข้าใจมาตลอดนั้น ความจริงแล้วอาจยังเข้าใจไม่ดีพอ
คนไม่รู้ย่อมเรียนรู้กันได้ แต่คนไม่มีประสบการณ์ถ้าไม่ให้โอกาสแล้วจะไปมีประสบการณ์ได้อย่างไร? หลายธุรกิจระบุรายละเอียดรับสมัครงานไว้ว่า ยินดีรับนักศึกษาจบใหม่ พร้อมกับพ่วงมาด้วย “ประสบการณ์ทำงานมากกว่า 1 ปี”
ซึ่งทำให้ผู้ที่จะสมัครเกิดการสับสนได้จากข้อระบุดังกล่าว และยังแสดงถึงความไม่ชัดเจนขององค์กร ด้วยเหตุนี้ก็จะทำให้ธุรกิจที่เลือกจะระบุรายละเอียดแบบกำกวมเช่นนี้ถึงได้ผู้ที่มาทำงานอย่างไม่ตรงตามที่ต้องการ
เวลามีการรับสมัครงาน ไม่ใช่แค่องค์กรที่เป็นฝ่ายเลือกคนเข้ามาทำงานอย่างเดียว ผู้สมัครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเช่นกัน เพราะแบบนี้หากอยากได้คนมาทำงานคุณสมบัติตามใจนึก ก็ควรเป็นแบบนั้นเสียก่อน สำรวจคุณสมบัติของธุรกิจตัวเองว่าดีพอหรือยัง เมื่อเป็นแบบนั้นคนที่พร้อมตามต้องการก็จะมาหาเราเอง
คงถึงเวลาที่ต้องบอกว่าไม่ว่าใครจะรู้มากหรือน้อย หากยังไม่หยุดพัฒนาการเรียนรู้ ไม่นานเขาก็จะได้รู้ตามต้องการ ส่วนสิ่งที่สอนกันไม่ได้นั่นคือประสบการณ์ ต้องลงมือสร้างด้วยตนเอง เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
เพราะสุดท้ายแล้วช่วงเวลาจะบอกกับเราเองว่า ความรู้คือสิ่งสำคัญ แต่ประสบการณ์คือสิ่งจำเป็น
…
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexels
ที่มาจาก แฟนเพจ : CEO Restaurant