หากคุณจัดการเงินอย่างดีแล้ว คุณก็สามารถสร้างรายได้เสริมจากการออมหรือการลงทุนได้ เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มต้นที่จะตั้งเป้าหมายด้านการเงิน สิ่งที่คุณควรจะเริ่มต้นเป็นอันดับแรกก็คือการศึกษา เรียนรู้หนทางการจัดการทางการเงินที่จะสามารถทำให้เกิดผลกับตัวเราได้ โดยหนทางนั้น ๆ ก็ต้องเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลกว่ามันใช้ได้ผลจริง ๆ
แน่นอน พอพูดถึงเรื่องแผนการเงิน มันมีแผนหลายแผนมากมายที่ฟังแล้วดูดี ดูใช่ แต่เราจะเลือกแผนอย่างไรให้เหมาะกับตัวเรา ?
เราต้องเลือกแผนจัดการทางการเงินที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และรายได้ของเรา ดังนั้น เราต้องเข้าใจตัวเองก่อนที่จะเลือกแผน เปรียบเทียบแผนต่าง ๆ ว่าแผนไหนมันเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด หากเราเลือกแผนที่ไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และรายได้ที่เรามี แผนนั้นก็อาจจะใช้ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น เราต้องอ่าน ศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าอะไรเหมาะกับเราที่สุด
เรามาดูกันเลยว่ามีแบบแผนการจัดการทางการเงินอะไรบ้าง
- 6 JARS
เป็นแผนการจัดการทางการเงินที่คิดค้นโดย T. Harv Eker (ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Secret of Millionaire Mind) เขาเป็นนักพูดที่เก่งมากถึงกับเป็นระดับปรมาจารย์และเป็นคนที่ดีไซน์หลักการพัฒนาตนเองในหลากหลายด้าน
Jars ในที่นี้ให้นึกถึงไห หลักการของ 6 JARS คือการที่เราเอาเงินของเรามาแบ่งลงไห 6 ไห โดยแต่ละไหก็เปรียบเสมือนบัญชีการใช้เงินในด้านต่าง ๆ ของเรา เมื่อเราได้เงินมาทุก ๆ เดือน ไม่ว่าจะเป็นจากเงินเดือน เงินจากพ่อแม่หรือจากทางใดก็ได้ เงินจำนวนนั้นเราก็จะเอามาแบ่งลงไหตามเปอร์เซ็นต์ของหลัก 6 JARS ดังนี้
– NEC (Necessities) การใช้ตามจำเป็น = 55%
– LTSS (Long Term Saving for Spending) การเก็บเพื่อใช้จ่ายในระยะยาว = 10%
– EDU (Education) เพื่อการศึกษาและพัฒนาศักยภาพตนเอง = 10%
– FFA (Financial Freedom) เพื่ออิสรภาพทางการเงิน = 10%
– PLAY เพื่อการให้รางวัลตัวเอง = 10%
– GIVE เพื่อการกุศล = 5%
ในแบบแผนนี้เราจะสังเกตได้ว่า NEC หรือการใช้ตามจำเป็นนั้นมีเปอร์เซ็นต์ที่เยอะที่สุด แต่สิ่งที่รองลงมาไม่ว่าจะเป็นการเก็บเพื่อใช้จ่ายระยะยาว เพื่อการศึกษา เพื่ออิสรภาพทางการเงิน การให้รางวัลตัวเองและเพื่อการกุศลก็สำคัญแตกต่างกันออกไป แผนนี้จะให้ความสำคัญไปกับอนาคตพอ ๆ กับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ถือว่าเป็นแผนที่ค่อนข้าง Balance ทีเดียว
- แผนสไตล์ญี่ปุ่นคะเคโบะ (Kakeibo) 家計簿
ในหนังสือคะเคโบะจะบอกถึงการแบ่งกระเป๋าเงินไว้ดังนี้
#1 ค่าใช้จ่ายจำเป็น (อาหาร ค่าเช่า ค่าเดินทาง)
#2 ค่าใช้จ่ายสิ่งที่ต้องการ (การช้อปปิ้ง อาหารแพง ๆ)
#3 ค่าใช้จ่ายบันเทิง (เพลง, ภาพยนตร์)
#4 ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน (ค่ารักษา ค่าซ่อม)
ในทุก ๆ เดือน คุณจะกดเงินจำนวนที่จำเป็นเอามาเข้ากระเป๋าทั้ง 4 ใบนี้ ส่วนเงินที่เหลือก็ให้เก็บไว้ ไม่ต้องกดออกมา
วิธีการที่จะทำให้แผนการคะเคโบะมีผลกับเรามากที่สุด
Step 1 : คำนวณค่าใช้จ่ายที่จำเป็น(ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าอาหาร อื่น ๆ) ให้เป็นจำนวนที่คงที่ต่อเดือน เดือนนึงเราใช้เท่าไหร่ ก็คำนวณให้ได้คงที่เท่านั้น
Step 2 : ให้กำหนดว่าในเดือนนึง เราต้องการเก็บเงินให้ได้เท่าไหร่ หลักการคือเราจะไม่ใช้เงินจำนวนนี้
Step 3 : ตั้งเป้าเป็นเดือน ๆ ว่าเราจะใช้เงินไปกับอะไร เช่น เป้าหมายด้านการเงินของเราในอีก 3 เดือนคือการซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ เป้า 6 เดือนคือรถคันใหม่
Step 4 : ตั้งเป้าความมุ่นมั่นเกี่ยวกับการใช้เงิน เช่น เราจะไม่ใช้เงินไปกับการกินของแพงหรือกินเกิน 3 มื้อ
Step 5 : จดบันทึกการใช้เงินในทุกหมวดหมู่ (สิ่งจำเป็น – สิ่งไม่จำเป็น – ค่าใช้จ่ายด้านบันเทิง – ค่าฉุกเฉิน)
Step 6 : หลักจากผ่านเดือนไป ประเมินตัวเองว่ามีอะไรแตกต่างไปจากตอนที่เราไม่มีแผนไหม? เป้าหมายของเราสำเร็จไหม? เราเก็บเงินได้เพิ่มมากกว่าเดิมไหม? เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินได้อย่างไรในเดือนหน้า?
เป็นแผนที่ทำให้เราได้ตั้งข้อกำหนดและตั้งเป้าหมายเพื่อประเมินตัวเองในช่วงแรก แผนจะเริ่มเข้าที่ก็ต่อเมื่อเรา วิเคราะห์และประเมินตัวเองอย่างถี่ถ้วน เป็นแผนที่สร้างเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินในอนาคต ถือว่าเป็นแผนเพื่ออนาคตอย่างแท้จริง
- แผนแบบมหาเศรษฐีฮ่องกง
Ly Gia Thanh หรือ เหลย์ ก๊าเส่ง คือมหาเศรษฐี นักลงทุน นายทุนอุตสาหกรรม เขาคือคนที่มีบทบาทอย่างมากเกี่ยวกับการลงทุนในเอเชีย วันที่ 6 มีนาคม ปีค.ศ.2007 Forbes เคยให้เหลย์ ก๊าเส่งอยู่ในอันดับที่ 9 ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินกว่า 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลย์ ก๊าเส่งได้บอกเอาไว้ว่า มี 3 ทาง ที่เราใช้เงินมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้เงินกลับมามากขึ้น
#1 ใช้เงินไปกับการให้ความรู้ตัวคุณเองและลูกหลานของคุณ
#2 ใช้เงินไปกับการดูแลพ่อแม่หรือผู้ที่เลี้ยงดูเรามา
#3 ให้คืนกลับสู่สังคม
ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน การใช้เงินไปกับการหาความรู้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและสำคัญต่อเราและครอบครัว เช่นเดียวกับการดูแลพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามา เพราะไม่มีเขาก็คงไม่มีเราในวันนี้ สุดท้ายเราก็ต้องให้อะไรกลับสู่สังคมเพื่ออนาคตที่ดีต่อลูกหลานและเพื่อนมนุษย์
- กฎ 50/20/30
กฎนี้มีหลักการง่าย ๆ โดยต้องแบ่งหารค่าใช้จ่ายหลัก ๆ 3 อย่าง โดยแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ดังนี้
50% : ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น อาหาร ค่าเช่า ค่าเดินทาง ค่าไฟและอื่น ๆ ถ้าหากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของคุณมากกว่า 50% ก็อาจจะต้องพิจารณาลดจำนวนลงหรือไม่ก็หารายได้เพิ่ม ยกตัวอย่างเช่นการออกไปหาอะไรกินข้างนอกหรือกินตามร้านอาหารต่าง ๆ เราก็ซื้อวัตถุดิบมาเตรียมไว้ทำที่บ้าน ทำได้หลายวันก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเหมือนกัน
20% : ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าใช้จ่ายในการเที่ยว ค่าช้อปปิ้ง ค่าสันธนาการต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็แล้วแต่คน แต่ถ้าคุณใช้เงินไปกับเรื่องนี้ไม่มากนัก ก็จะสามารถเอาไปชดเชยกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะเป็นการเก็บเงินเพิ่มหรือไปลงทุนก็ได้
30% : เป้าหมายด้านการเงินสำหรับการจ่ายหนี้และการลงทุนเพื่ออนาคต คุณสามารถลงทุนเพื่อที่จะเติบโตได้ อาจจะไปเล่นหุ้นหรือแค่เก็บเงินเยอะ ๆ ต่อเดือน เมื่อทุนคุณเยอะขึ้น ความเสี่ยงทางการเงินก็จะน้อยลง มันเป็นเหมือนกับเงินที่จะประกันอนาคตของเรา
เป็นแบบแผนที่ค่อนข้างชัดเจนคล้าย ๆ กับแผนแบบ 9 JARS ค่าใช้จ่ายจำเป็นเป็นเรื่องสำคัญแต่เราก็สามารถลดเปอร์เซ็นต์ลงมาได้เหมือนกันเช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายส่วนตัว ส่วน 30% ที่เอาไว้จ่ายหนี้หรือเอาไว้ลงทุนเพื่ออนาคตก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะกับใครหลาย ๆ คนที่ต้องการเพิ่มเงินในบัญชีธนาคาร แต่แน่นอนว่ามันไม่ง่าย เราต้องศึกษาทุกอย่างให้ถี่ถ้วนก่อนทุกการลงทุน
- แผนการใช้เงินตามที่พระพุทธเจ้าสอน
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า เราควรจะแบ่งเงินของเราออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ส่วนที่สองคือส่วนที่เก็บไว้เมื่อยามฉุกเฉิน ส่วนที่สามคือส่วนของธุรกิจและการลงทุนที่ได้กำไร ส่วนที่สี่คือส่วนที่คอยช่วยเหลือพ่อแม่ ผู้ปกครอง
ถือว่าเป็นการแบ่งการใช้เงินตามหลักคำสอนที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด ไม่มีตัวเลขเปอร์เซ็นต์อะไรให้ เราต้องแบ่งตามความจำเป็นและสถานะทางการเงินของเรา
เมื่อเราอ่านจบถึงตรงนี้แล้ว เรามีแบบแผนการจัดการทางการเงินแผนไหนที่เป็นของเราแล้วหรือยัง? แค่อ่านมาทั้งหมดนี้คงยังไม่พอถ้าหากเราต้องการที่จะมี “Financial Freedom” เราต้องเลือกแบบแผนที่ตรงกับสถานะทางการเงินของเรา คุณสามารถเลือกแบบแผนที่คุณคิดว่าดีที่สุดสำหรับคุณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ความอดทน” และ “ความมุ่งมั่น” ที่จะวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง สุดท้ายแล้ว ขอให้ลงมือทำ ฝึกฝนซ้ำ ๆ วิธีไหนที่คุณคิดว่าใช่แต่สุดท้ายมันไม่ใช่ เราก็หาแบบแผนของเราต่อไป เมื่อแผนลงล็อคเมื่อไหร่ “อิสรภาพทางการเงิน” คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม