คนทั่วไปคุ้นเคยกันดีกับเครื่องซักผ้าแบรนด์ตลาดอย่าง Samsung, LG, Sharp และ Hitachi ซึ่งเรานำมาใช้เป็นเครื่องซักผ้าในบ้าน (Home Use) และก็ยังสามารถนำมาติดตั้งเป็นเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญใช้ในร้าน ไม่ต่างกันนัก
แต่ถ้าเกิดอยากเปิดร้านซักอบแบบแฟรนไชส์ หรือสร้างโรงงานรับซักให้กับโรงแรม โรงพยาบาล คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้เครื่องแบบอุตสาหกรรม (Industry) ซึ่งทั้งคู่จะมีรายละเอียดต่างจาก Home Use
มาว่ากันที่ประเภทของเครื่องซักผ้าแบบ Home Use ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ฝาหน้า (Front Load) และฝาบน (Top Load Agitator)
สำหรับเครื่องซักฝาหน้าคือเครื่องที่ถือกำเนิดขึ้นมาก่อนในปี 1937 โดย Bendix ได้เปิดตัว “Bendix Automatic Home Washer” ความสามารถหลักซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเครื่องเลยก็คือ การเลือกอุณหภูมิน้ำได้ว่าจะซักน้ำเย็นหรือน้ำร้อน ส่งผลให้สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้มีความสะอาดโดยรวมมากกว่าการซักเครื่องฝาบน
นอกจากนี้ ในช่วงของการปั่นหมาด เครื่องซักฝาหน้ามีจำนวนรอบการปั่นสูงถึงราว 1,400 รอบต่อนาที มากกว่าเครื่องซักฝาบนที่ปั่นได้ประมาณ 850 รอบต่อนาที อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ผู้ใช้เครื่องซักฝาหน้าต้องเจอคือ การต้องนั่งยองโกยผ้าเข้าเครื่องกับเอาออกจากเครื่องและใช้เวลาในการซัก 70-120 นาที
อุปสรรคดังกล่าวยังไม่ถูกแก้ไขจนกระทั่งปี 1994 Staber เปิดตัว “Staber System 2000” ซึ่งเป็นเครื่องซักผ้าฝาบนรุ่นแรกของโลก พร้อมข้อได้เปรียบคือ ผู้ใช้แค่เปิดฝาเครื่องจากด้านบนก็สามารถนำตระกร้าผ้ามาเทลงไปได้เลย จะเก็บก็หยิบขึ้นมา พื้นที่ติดตั้งก็ใช้น้อยกว่าเครื่องฝาหน้า และยังใช้เวลาซักน้อยกว่าที่ 60-85 นาที ทำให้ราคาเครื่องถูกกว่าไปด้วย
เครื่องทั้งสองประเภทมีดีกันคนละอย่างและถูกนำไปใช้ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันเล็กน้อย หากคุณพักอยู่คอนโดซื้อขาย ส่วนใหญ่จะสั่งซื้อเครื่องซักฝาหน้าไปติดตั้งให้ลูกบ้านมากกว่า เพราะใช้พื้นที่น้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องดีไซน์พื้นที่ส่วนบนของเครื่อง ยกเว้นการใช้งานในบ้านหลังใหญ่หรือตามร้านที่มีพื้นที่กว้างสามารถนำเครื่องฝาบนไปติดตั้งได้
นี่คือที่มาของเครื่อง Home Use มาต่อกันที่เครื่อง Industry
โดยหลักแล้ว เครื่อง Industry ก็เหมือนเป็นเทคโนโลยีใหม่ของการซักผ้า ตัวเครื่องเปลี่ยนวัสดุจากพลาสติกและโพลีเมอร์มาเป็นสแตนเลสเพื่อความทนทานให้เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมใหญ่ ซี่งถูกนำไปใช้งานใน 2 รูปแบบคือ เชิงพาณิชย์ (Commercial) ก็คือแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก กับอุตสาหกรรม (Industry) ในโรงงานขนาดใหญ่ที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มใหญ่ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล และสายการบิน ตามที่กล่าวถึง
นอกจากวัสดุที่ต่างกันแล้ว แบรนด์ที่ผลิตเครื่องประเภทนี้ก็จะต่างออกไปจากเครื่อง Home Use ที่เราคุ้นชื่อกัน เนื่องจากแบรนด์ Industry จะผลิตเครื่องจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก โดยมียี่ห้อดังอย่าง Speed Queen, Heubsch, Ipso และ Primus ที่กินส่วนแบ่งตลาดเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมในไทยมากที่สุดตามลำดับ
ทีนี้เรามาดูความแตกต่างระหว่างเครื่อง Home Use กับ Industry กันบ้าง
1. ผู้ผลิตเครื่อง Industry ทุกรายจะใช้ “สแตนเลส” มาเป็นวัสดุผลิตเป็นตัวเครื่องซักและเครื่องอบเพื่อรองรับจำนวนการใช้งานที่มากกว่าทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ตัวเครื่องจึงเป็นทรงเหลี่ยม ไม่มีการดัดมุมให้โค้งมาก ซึ่งนอกจากตัวเครื่อง แผงวงจรไฟในเครื่องก็ยังใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงกว่า มีอายุการใช้งานนานกว่า
2. โปรแกรมการซักในเครื่อง Industry จะถูกตั้งค่ามาให้มีจำนวนรอบปั่นมากกว่าเครื่อง Home Use เพื่อให้ผ้าซักเสร็จเร็วและสะอาดมากที่สุด เมื่อเครื่องซักเสร็จ ผ้าจะเกาะติดกันเป็นก้อนมากกว่าซักที่บ้าน
3. เครื่อง Industry จะมีการติดตั้งระบบหยอดเหรียญ หรือ สแกน QR Code มาให้จากโรงงาน ต่างจากเครื่อง Home Use ที่จะต้องติดตั้งแยก หรือหาร้านที่ขายเครื่องซักที่ติดตั้งระบบหยอดเหรียญมาให้เลย เพราะถ้านำเครื่องที่ซื้อเองมาดัดแปลงเพิ่ม ประกันเครื่องจะหมดทันที
4. ร้านที่เป็นแฟรนไชส์หรือโรงงานจะมีระบบคลาวด์ในการดูแลเครื่อง หากมีความปกติเกิดขึ้นกับเครื่องหรือระบบร้าน จะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปทันทีและทำการแก้ไขเบื้องต้นได้ ไม่ต้องอยู่หน้างานตลอดเวลา
ดังนั้น จะเห็นว่าเครื่อง Industry มีฟังก์ชันการใช้งานที่ได้เปรียบเครื่อง Home Use อยู่หลายอย่าง ทำให้มีประสิทธิภาพที่สูงกว่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร้านประเภทแฟรนไชส์จะใช้เครื่องเล่านี้เป็นหลักเพราะความทนทานทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าไปด้วย
ซึ่งการจะเลือกเครื่องประเภทไหนมาใช้ในร้านก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนที่เรามี เครื่อง Industry ดีกว่าก็จริง แต่ก็มีขนาดใหญ่กินพื้นที่ และถ้าคุณไม่ได้คิดจะเปิดโรงงานซักผ้าขนาดใหญ่ เครื่อง Home Use ที่เราคุ้นเคยกันก็เพียงพอที่จะทำธุรกิจแล้ว
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital