จะขายของทั้งที ไม่ใช่สักแต่จะขาย แต่คนขายเองต้องรู้ด้วยว่า สินค้าของเรามีดีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เช่น สินค้าของคุณอาจจะมีต้นทุนการผลิตที่สูงเพราะไปเน้นคุณภาพ ทำให้ได้ผลิตออกมาได้น้อย หรือคุณอยากสร้างชื่อบริษัทให้เป็นที่รู้จักก่อน จึงเน้นผลิตสินค้าในปริมาณ คุณภาพปานกลาง จากนั้นถึงค่อยเพิ่มสินค้าประเภทอื่น
ไม่ว่าคุณจะผลิตแบบเน้นปริมาณหรือคุณภาพ แต่มันมีผลต่อตลาดที่คุณลงไปเล่นด้วย เพราะมันเป็นการกำหนดมูลค่าของสินค้าไปในตัว
ถ้าคุณผลิตเยอะ คู่แข่งก็เยอะ เพราะทุกคนอยากให้สินค้าของตัวเองขายได้ ราคาที่ขายที่ขายจึงใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเน้นคุณภาพ คู่แข่งจะน้อย สามารถตั้งราคาสูง ซึ่งคุณก็ต้องใช้กลยุทธ์ให้ลูกค้ายอมจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อคุณภาพจากคุณไป
ดังนั้น ก่อนที่คุณจะผลิตอะไร คุณก็ต้องรู้จักการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation) ที่คุณจะเล่นว่าสินค้า คุณภาพ และราคา ของเราเหมาะกับตลาดไหน ในโลกธุรกิจนั้นก็มีการแบ่งระดับชั้นตลาดเอาไว้ 6 ระดับ ได้แก่
1. การตลาดมวลชน (Mass Marketing)
ตลาดมวลชนคือ ตลาดที่หลายแบรนด์ผลิตสินค้าออกมาขายมากที่สุดที่เราเรียกว่าสินค้าอุปโภคบริโภค นั่นเป็นเพราะสินค้าในตลาด Mass เป็นสินค้าคุณภาพระดับมาตรฐาน ผู้บริโภคทุกช่วงรายได้เข้าถึงสินค้าได้เหมือนกันและได้รับประโยชน์จากการใช้งานเท่ากัน
สินค้าที่อยู่ใน Mass Market จึงกลายเป็นสินค้าที่ผลิตออกมาเน้นขาย “ปริมาณ” มากกว่า “คุณภาพ” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน
2. การตลาดเฉพาะส่วน (Segment Marketing)
ตลาดเฉพาะส่วนคือ การที่บริษัทผลิตสินค้าออกมาขายโดยไม่ได้มีการขายเจาะกลุ่มลูกค้ารายเดียว แต่เป็นลูกค้าหลายกลุ่ม ผ่านการขายสินค้าชนิดเดียวกัน แต่มีคุณสมบัติต่างกัน ทำให้มีช่วงราคาต่างกันตามคุณสมบัติของสินค้า
ตัวอย่างคือ สมาร์ตโฟน Samsung ที่ปกติจะมีรุ่น Galaxy S กับ Galazy Note เน้นขายอยู่ในตลาด Mass อยู่แล้ว ต่อมา Samsung คืนชีพมือถือจอพับได้มาเป็นสมาร์ทโฟนในชื่อ Galaxy Z Fold กับ Z Flip ออกมาทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้า Niche ที่มีความต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ ราคาสูงไปเลย
3. การตลาดกลุ่มเล็ก (Niche Marketing)
นอกจากตลาดแบบ Mass ตลาดแบบ Niche คือชื่อที่เราคุ้นหูพอๆ กัน เพราะถือเป็นการตลาดที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตรงข้ามกับ Mass ไปเลย คือ เจาะตลาดกลุ่มเล็กไปเลย อย่างเช่นสมาร์ทโฟนจอพับได้ของ Samsung ที่กล่าวถึงไป
4. การตลาดท้องถิ่น (Local Marketing)
ตลาดท้องถิ่นคือ การขายสินค้าโดยบริษัทหรือร้านค้าที่ตั้งขึ้นในแหล่งชุมชนหรือจังหวัดใดก็ตามเพียงที่เดียว ตัวสินค้าก็เป็นสินค้าทำเองจากวัตถุดิบที่หาได้ในบริเวณนั้นๆ และจำหน่ายเฉพาะร้านค้าในท้องถิ่น ถ้าอยากได้ก็ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ด้วยตัวเอง ไม่มีขายทั่วไป เช่น สินค้า OTOP ของแต่ละพื้นที่
5. การตลาดเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing)
ธุรกิจในกลุ่มนี้คือ กลุ่มธุรกิจขายตรงที่มีกลุ่มลูกค้าชัดเจนว่าทำสินค้าออกมาเพื่อใคร
Amway กับ Giffarine ขายอาหารเสริมกับเครื่องสำอางเจาะกลุ่มลูกค้านักศึกษาและคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน Mistine ขายเครื่องสำอางกับสกินแคร์ให้นักศึกษา วัยทำงานช่วงแรก และสาวโรงงาน ส่วน Coway ขายเครื่องกรองน้ำให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ
6. การตลาดที่ลูกค้าดูแลตัวเอง (Self-Marketing)
ผู้มีส่วนเกี่ยวใน Self-Marketing คือ ตัวลูกค้าที่จะต้องหาข้อมูลสินค้า และสั่งซื้อด้วยตัวเอง ผ่านช่องทางออนไลน์ โทรศัพท์ และอีเมล แต่มีข้อเสียคือ ไม่มีใครมาคอยแนะนำข้อมูลให้ ไม่สามารถเห็นสินค้าด้วยตาก่อนซื้อ และถ้าซื้อมาแล้วต้องรับผิดชอบเอง ไม่มีประกัน ไม่มีบริการหลังการขาย ทำให้มีความเสี่ยงที่จะได้สินค้าไม่ตรงปกและไม่มีคุณภาพอีกด้วย
แต่ละตลาดมีรูปแบบการนำขายสินค้าต่างกัน แบรนด์ของเราอาจจะขายสินค้าในตลาดเดียวไปเลย หรือเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดอื่นด้วยสินค้าที่ต่างกันก็จะทำให้เรามีกลุ่มลูกค้าเฉพาะตลาดที่แยกออกไปตามความสนใจและเป้าหมายที่เราต้องการ
ภาพประกอบจาก: Nutshell
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital