หากพูดถึงในด้านการลงทุนนั้น หลายคนคงมีคำถามเกิดขึ้นมามากมายในหัวเพราะไม่ใช่ว่าใครที่ลงทุนแล้วจะรอดแต่ที่หนักไปกว่านั้น คือ ถ้าเราไม่ลงทุนเลยก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะไม่รอดมากกว่า แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับการที่จะเริ่มลงทุนแล้วนั้น ซึ่งในที่นี้จะพูดในแง่ของตลาดหุ้น แต่ผู้อ่านเองก็สามารถนำไปปรับใช้เพิ่มเติมได้เสมอ นั่นก็คือการรู้จักนิสัยของตัวผู้ลงทุนเอง ว่าชอบการลงทุนในลักษณะไหน หุ้นแบบไหนซื้อแล้วอุ่นใจถือยาวได้ หรือหุ้นแบบไหนต้องเทรดระยะสั้น
เพราะจากข้อมูล
“กว่า 80% นักลงทุนไทย ถือหุ้นไม่เกิน 4 เดือน เพียงเพราะเลือกหุ้นไม่ถูกจริตของตัวเอง”
จะเห็นว่าถ้าเราลงทุนในหุ้นที่ไม่ใช่หรือในสไตล์ที่ไม่ชอบ ก็เปรียบเสมือนการลงทุนที่สะเปะสะปะไร้ทิศไร้ทางเขาบอกมาว่ายังไงก็ไปตามเขา ซึ่งแท้จริงแล้วเราเองต้องเป็นคนที่ตัดสินใจให้ได้ว่าจะลงทุนไปทางไหน เพราะเป้าหมายของคนเราไม่เหมือนกัน
เพราะบางคน อยากได้รถ อยากได้บ้าน อยากเกษียณไว หรือ อยากมีอิสรภาพทางการเงิน
ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะมองมาที่หุ้นซึ่งสามารถตอบโจทย์ในแง่ของผลตอบแทนได้ในระดับหนึ่ง โดยที่ไม่เป็นสองรองใครจากการลงทุนประเภทอื่นเลยทีเดียว
การลงทุนในหุ้นนั้น จะแบ่งผู้ลงทุนออกได้หลายแบบแต่เพื่อให้เห็นชัดเจนจะมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ คือ
1.นักเก็งกำไร
2.นักลงทุน
ทีนี้มาดูกันว่าการที่จะเลือกว่าตัวเองชอบสายการลงทุนแบบไหนจะเป็นอย่างไร
นักเก็งกำไรนั้น จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ แบบแรก คือ Speculator หรือ นักเก็งกำไรสายพันธ์แท้ บางทีคนในวงการอาจจะเรียกว่าแมงเม่า เพราะชอบบินเข้ากองไฟ นักลงทุนประเภทนี้จะชอบดูเพียงราคาของหุ้นและนิสัยก็คือจะชอบลงทุนระยะสั้น ซึ่งบางทีก็อาจจะเก็งกำไรจากเหตุการณ์ หรือที่เรียก ว่า Event Driven ก็ได้ และเหตุการณ์ที่ชาว Speculator นำมาเก็งกำไร ก็จะมี
เก็งเรื่องบริษัทจะประกาศผลประกอบการออกมาเป็นเช่นไร จะปันผลออกมาไหม
เก็งกำไรเรื่องหุ้น Turnaround เพราะบางทีบริษัทที่เคยขาดทุนหนักแล้วสามารถกลับมามากำไรได้ กำไรต่อหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นสูงมากจึงเป็นที่น่าจับตา
เก็งกำไรในเรื่องของการซื้อหุ้นคืน เพราะบางทีการที่บริษัทซื้อหุ้นคืนก็สามารถทำให้เรามั่นใจได้ว่าบริษัทมีความแข็งแกร่ง ในระดับหนึ่ง พอมีคนเข้ามาซื้อตาม Speculator เองก็สามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น
หรือจะเป็นการเก็งกำไรตามฤดูกาลก็ได้เพราะแต่ละช่วงหรือแต่ละไตรมาสผลประกอบการของหุ้นก็จะไม่เหมือนกัน
ซึ่งยังมีอีกมายมายหลายเหตุการณ์ที่เหล่า Speculator สามารถนำมาเล่นได้ถือว่าเป็นโอกาสเลยก็ว่าได้
ถัดมาคือ Momentum Investor ซึ่งนักลงทุนประเภทนี้จะลงทุนตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ได้จากสถานการของเศรษฐกิจบ้านเมืองว่าเป็นอย่างไร หรือ ถ้าให้พูดอย่างง่ายก็คือ นักลงทุนประเภทนี้จะเน้นรอบการซื้อขาย
คุณสมบัติของ MI มีดังต่อไปนี้
- ต้องคิดถึงในเรื่องของผลตอบแทนทุกเพราะนักลงทุนประเภทนี้จะไม่เน้นลงทุนระยะยาวเหมือน VI แต่จะเน้นเล่นเป็นรอบๆ จึงต้องมีความรู้อย่างมาก เพราะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนว่าระยะเวลาเท่านี้ผลตอบแทนเป็นยังไง หรือจะเป็นในรอบสัปดาห์หรือรอบเดือนก็ได้
- ต้องสามารถที่จะมองภาพรวมของเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับโลกหรือภายในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง เงินเฟ้อ น้ำมัน หรือแม้กระทั่งสงคราม นักลงทุนชาว MI ก็ต้องวิเคราะห์และประเมินได้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียต่ออุตสาหกรรมที่ลงทุนหรือไม่ ถ้าไม่ดีก็ต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนย้ายอุตสาหกรรมได้ทันท่วงที
- ต้องคอยติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอด เพราะว่าบางข่าวที่เกิดขึ้นในต่างประเทศบางทีก็อาจจะไม่ได้กระทบกับหุ้นที่เราไปเลือกลงทุนนัก แต่บางคราวก็อาจจะกระทบได้ ซึ่งนักลงทุนเองก็ต้องคอยติดตามและต้องรู้สึกยินดีที่จะรับข่าวตลอดเพราะถ้าคุณเบื่อสายนี้ก็คงจะไม่เหมาะ
- ต้องวิเคราะห์ข่าวที่รับรู้มาให้เป็น ไม่ใช่แค่วิเคราะห์กันแบบวันต่อวัน อย่างนั้นน่าจะเป็นการเก็งกำไรมากกว่า ดังนั้น นักลงทุนสาย MI จึงต้องมองให้ออกหรือมองให้คาดในเรื่องของเศรษฐกิจนั่นเอง เพราะหลังจากที่รับรู้ข่าวสารมาแล้วนั้น เราก็ต้องนำมาวิเคราะห์และประกอบการตัดสินใจในเรื่องการลงทุน เพื่อที่จะสามารถคาดการณ์หรือต้องคาดการณ์ได้ว่าในไม่กี่เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร
บอกเลยว่าไม่ง่ายเลยหากจะเป็นนักลงทุนประเภท Momentum Investor เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีความรู้จบการศึกษาสูง หรือ ก็ต้องเป็นคนที่ทำงานในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพราะจะเป็นที่รวมเหล่าบรรดานักวิเคราะห์ไว้อยู่แล้ว
ถัดมา เป็นนักลงทุน ที่คนส่วนใหญ่อยากเป็นและน้อยมากที่จะได้เป็น ซึ่งนั่นก็ คือ สไตล์ Value Investor (VI) หรือนักลงเน้นคุณค่า ที่หลายๆ คนรู้จักกันนั่นเอง ซึ่งบุคคลที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกที่อยู่ในสายนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน
ส่วนหลักการในสายนี้มีเยอะมากและมีเทคนิคการเลือกหุ้นที่ดีมาก
แต่หลักๆ แล้วก็คือ ต้องลงทุนระยะยาวถึงยาวมาก หรือ บางท่านที่อยู่ในสายนี้ก็บอกว่าต้องลงทุนทั้งชีวิต และอีกอย่างคือต้องลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดี หรือสามารถทำกำไรและเติบโตขึ้นไปได้ดีในอนาคต
ส่วนอีกประเภทสุดท้าย ก็คือ Yield Investor หรือ นักลงทุนเน้นหุ้นปันผล หรือบางทีก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนักลงทุนห่านทองคำก็ได้ เพราะ Yield Investor นั้นจะลงทุนกับหุ้นหรือบริษัทที่มีประวัติการจ่ายผลตอบแทนที่เป็นเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงและมีความต่อเนื่องหรือคาดการณ์แนวโน้มแล้วว่าสามารถที่จะจ่ายปันผลได้ดีในอนาคตได้
นักลงทุนประเภท Yield Investor นี้ดูไปก็จะคล้ายๆ กับนักลงทุน Value Investor แต่กลุ่มนี้จะเน้นด้านการจ่ายปันผลเป็นหลัก
จากประเภทของนักลงทุนที่ได้จำแนกไว้ข้างต้น จะเห็นว่าบางท่านก็อาจจะตอบไม่ถูกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบแบบไหนสไตล์ไหน เพราะบางคนก็อาจจะบอกว่าตัวเองมีความชอบหลากหลายแบบ
ก็ไม่ผิดที่คิดอย่างนั้น เพราะบางทีเราก็สามารถดีไซน์ วิธีการลงทุนของเราเองได้ หรือ ที่เรียกว่าแบบ Hybrid ซึ่งอาจจะแบ่งเป็น เก็งกำไร 20% เป็น VI อีก 80% ก็ได้แต่อย่างน้อย ต้องแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้ชัดเจน
และไม่ว่าจะเป็นสายไหนสิ่งที่สำคัญเลยก็คือต้องมีกรอบแนวคิดหรือว่า mindset ที่ดีกับการลงทุนด้วย รวมไปถึงการมีวินัยของตัวเองในด้านการลงทุนเพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพชัด และเมื่อภาพในด้านการลงทุนชัดก็ย่อมที่จะทำให้รวยเร็วขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
และสุดท้ายนี้ ได้นำคำคมจากเจ้าพ่อไมโครซอฟท์ฝากไว้เป็นแรงบันดาลใจ
“ถ้าคุณเกิดมาจน มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก แต่ถ้าคุณตายโดยที่ยังจนอยู่ นั่นแหละความผิดแน่”
– Bill Gates –
อ้างอิง:
เรียบเรียงโดย : ไชยวัฒน์ โชคบัณฑิต
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digitals
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Pexels