ทุกวันนี้เหล่านักขายไม่ว่าจะทั้งขายหน้าร้านหรือออนไลน์ก็ตาม ต่างก็ต้องสรรหาวิธีร้อยแปดพันอย่างมาช่วยทำให้การขายของดูไม่น่าเบื่อ เพราะเดี๋ยวนี้การยืนขายของแบบร้องปากเปล่าตะโกนปาวๆ ออกจะดูธรรมดาไปแล้วในยุคนี้ บางคนบอกว่าแค่ขายของธรรมดาก็เหนื่อยจะบ้าตายอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยหาวิธีกายขายให้ปวดหัวอีก คนซื้อนี่ก็นะ…ยิ่งคนขายดีดมากท่าไหร่ก็ยยิ่งซื้อยิ่งอุดหนุนกัน (แปลก ขอขายแบบธรรมดาได้ไหม!)
หลายคนเลยต้องขุดหากลยุทธ์เข้ามาช่วยเสริมให้ขายของไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ไม่ว่าจะร้อง เต้น เล่นละครที่ต้องอาศัยความ Create ทั้งในตัวคนทำแล้วต้องให้เหมาะกับตัวแบรนด์อีกด้วย
แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ต้องลงแรงให้เหนื่อยมาก ก็อาจจะช่วยให้การขายของของคุณไม่น่าเบื่อ แถมยังช่วยดึงลูกค้าเข้ามาหาคุณได้ด้วยนะ
ไม่ว่าคุณจะเปิดร้านขายอะไร ขายที่ไหน จะออฟไลน์หรือออนไลน์ก็ตาม “เพลง” หรือ “เสียงดนตรี” ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้คุณได้เป็นอย่างดี นอกจากเสียงเพลงหรือเสียงดนตรีจะบ่งบอกรสนิยมของเจ้าของร้านแล้ว แน่นอนว่าเมื่อกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มคนที่อาจจะกลายเป็นลูกค้าคนใหม่ของคุณได้ยินเข้า ก็มีแนวโน้มสูงมากที่พวกเขาจะแวะเวียนเข้าไปชมสินค้าของคุณ ต่อให้จะไม่ซื้อสินค้าของคุณก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้หยุดดูสินค้า (ซึ่งจริงๆ อาจจะหยุดฟังเพลง) อย่างน้อยๆ ก็ทำให้สินค้าของคุณเข้าไปอยู่สายตาพวกเขาแล้วส่วนหนึ่ง
ในบางครั้งคุณอาจจำเป็นที่จะต้องเปิดเพลงหรือเสียงดนตรีที่กำลังมาแรงในเวลาขณะนั้น (แม้ว่าคุณจะไม่ชอบมันเลยก็ตาม) แต่บางทีแนวเพลงหรือแนวดนตรีที่คุณชอบอาจจะไม่ถูกใจกลุ่มเป้าหมายเสมอไป อย่างที่บอกเพลงมันดึงดูดคนช่วยคุณได้จริงๆ คุณอาจจะต้องหมั่นศึกษาเทรนด์เพลงยอดฮิตในตอนนั้น เพื่ออัปเดตหาเพลงมาเปิดในร้านบ้าง
แม้แต่การขายสินค้าทางออนไลน์อย่างวิธีการไลฟ์สด คุณก็สามารถเปิดเพลงเพื่อดึงดูดลูกค้าได้เช่นกัน (แต่วิธีนี้อาจเสี่ยงต่อการโดนลิขสิทธิ์สูงกว่าวิธีอื่นนะ)
อย่างที่บอกไปเมื่อก่อนหน้าว่าบางทีเพลงหรือเสียงดนตรีที่เปิดอาจจะไม่ถูกใจเหล่ากลุ่มเป้าหมาย กรณีเพลงยอดฮิตก็เช่นกัน บางทีเพลงที่เป็นกระแสก็ไม่ได้ถูกใจคนทุกคนเสมอไป ที่จะบอกก็คือการเปิดเพลงมันช่วยได้ก็จริง แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องคอยลุ้นไปด้วยเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น คุณมีลูกค้าประจำที่มาอุดหนุนสินค้าคุณเสมอๆ วันหนึ่งในร้านของคุณเปิดเพลงที่ลูกค้าคนนั้นไม่ชอบอย่างมาก อาจสร้างความรู้สึกบางอย่างที่มีผลทำให้เขาตัดสินใจที่จะไม่เดินเข้าไปในร้านดังเช่นทุกครั้ง ซึ่งอาจจะแค่ครั้งนั้นหรือไม่ก็ไม่ซื้อสินค้าคุณตลอดไปเลย เท่ากับว่าคุณได้ทำลูกค้าประจำคนนั้นหลุดจากมือไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว
ซึ่งมันไม่มีวิธีแก้ที่ตรงจุดหรอก อย่างที่บอกไว้แล้วว่าเหมือนเราต้องลุ้นกับมันอยู่ตลอดเวลาว่าเพลงนี้ เสียงดนตรีแนวนี้จะถูกจริตลูกค้ามากน้อยแค่ไหน เพราะเราไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลส่วนนี้ได้อย่างละเอียด หรือมานั่งเดาใจว่าคนนี้คนนั้นจะชอบเพลงหรือดนตรีแนวไหนได้หรอก
อย่างมากก็คงทำได้แค่เปิดเพลงที่เข้ากับตัวแบรนด์ สินค้า และบ่งบอกความเป็นตัวคุณที่เป็นเจ้าของร้านนั่นแหละ
เคยได้ยิน “กฎของแรงดึงดูด” ไหม ยังไงๆ ทุกอย่างมันก็ล้วนที่จะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันให้เข้ามาหากันอยู่นั่นแหละ
อ้างอิง:
- Facebook: Marketing Mind
เรียบเรียงโดย: ฐานิต
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels