ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเพิ่มยอดขายสำหรับการทำธุรกิจ ไม่ใช่ช่วงพักเที่ยงหรือช่วงเย็นหลังเลิกงาน แต่เป็นช่วงเวลาอะไรก็ตามที่เจ้าของธุรกิจกล้าที่จะข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในการสร้างความมั่นคงสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ อย่างที่รู้กันดีว่าทุกอย่างจะต้องสอดประสานกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจุดบกพร่องอะไรก็ไม่อาจปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้
ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ต้องอาศัยประสบการณ์ที่จะคอยช่วยเอาตัวรอดไม่ให้ตกอยู่ในภาวะยากลำบาก แต่ประสบการณ์กับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ดูจะเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันเท่าไหร่
เมื่อเป็นแบบนั้นจำเป็นต้องหากลยุทธ์อื่นเข้ามาทดแทนสิ่งที่ยังขาด และการใช้จิตวิทยาก็ได้เริ่มขึ้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
ไม่รู้ว่าทุกคนเชื่อเรื่องจิตวิทยากันมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจอย่างขาดไปไม่ได้
ในเมื่อการทำธุรกิจหลายประเภทจะต้องใช้ความพึงพอใจและการตัดสินใจของลูกค้าในการสร้างยอดขาย การโน้มน้าวจึงเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้เส้นทางก้าวไปยังจุดที่ต้องการ
โดยสำหรับธุรกิจคาเฟ่หรือจะร้านอาหารอะไรก็ตามแต่ ยิ่งต้องใช้กลยุทธ์นี้มาเป็นตัวช่วยให้ผู้คนสนใจและมีความเชื่อในสินค้าและบริการอย่างไม่รู้ตัว
ตั้งแต่สี ตัวอักษร ขนาดป้าย คอนเซ็ปต์ สโลแกน โฆษณา และรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ก็ต่างล้วนเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะทำให้ธุรกิจเป็นไปตามอย่างที่คิด โดยที่ไม่ต้องใช้ศาสตร์มูเตลูจากสำนักไหน เพียงแค่เข้าใจว่าควรพาตัวเองไปอยู่จุดไหนแล้วจะเป็นที่สนใจมากกว่ากัน
ก่อนที่จะมาทำความรู้จักกับการใช้จิตวิทยาในการดึงดูดลูกค้าสำหรับธุรกิจ ต้องเริ่มกันที่ทำความเข้าใจก่อนว่าทุกการเคลื่อนไหวนั้นมีผลต่อการตัดสินใจทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นภาพลักษณ์สำคัญมากต่อองค์กรไม่ว่าใหญ่เล็กแค่ไหน อย่างที่เขาว่ากัน “ร้อยคนชม ยังไม่เท่าหนึ่งคนเกลียด”
ทันทีที่เริ่มต้นทำธุรกิจนั่นหมายความว่าคุณต้องยอมรับในเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ยอมรับในความคิดเห็นของคนอื่นและทุกความเห็นนั้นมักจะมีสองด้านเสมอ
สถานการณ์ตรงหน้าและความเปลี่ยนแปลงคือเพื่อนสนิทของผู้ประกอบการทุกคน ความสนุกและความยากอยู่ตรงที่จะบริหารอย่างไรให้ทั้งความชอบและความไม่ชอบอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา อีกทั้งในบางโอกาสสองสิ่งนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เห็นถึงช่องทางครั้งใหม่ที่คุณอาจไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เมื่อมีเสียงวิจารณ์ด้านลบต่อธุรกิจ สิ่งที่คนทั่วไปหรือเจ้าของธุรกิจมือใหม่คิดและลงมือทำคือการกลบข่าวให้เร็วที่สุด สร้างแต่ข้อมูลใหม่ดีๆ ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสียหายไป
แต่สำหรับบางคนกลับไม่เลือกทำแบบนั้น เขาเลือกที่จะปล่อยให้เสียงวิพากย์วิจารณ์เป็นไปในทางลบสักระยะ ก่อนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอาจด้วยการเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ หรือเป็นการให้โปรโมชั่นโดยใช้โฆษณาจากเสียงด้านลบเป็นตัวขับเคลื่อน
เพราะเมื่อมีกระแสในแง่ลบ คนบางส่วนก็จะรู้สึกถึงความไม่ไว้วางใจผิดหวังต่อธุรกิจนั้น ตัดขาดไปอย่างถาวร แต่ก็มีคนอีกกลุ่มซึ่งอาจเป็นคนส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำที่เกิดความสงสัยว่าสิ่งนั้นแย่จริงหรือ และเพื่อเป็นการตอบคำถามในใจของตัวเอง สิ่งที่จะช่วยได้คืออะไร ถ้าไม่ใช่ต้องไปลองพิสูจน์ดูสักครั้ง
ซึ่งถ้าใครปรับตัวและพลิกแพลงสถานการณ์ได้เร็วก็จะเอาตัวรอดและติดลมบนได้ แต่ถ้าไม่ก็จะยิ่งตกต่ำเกินกว่าจะรับได้
เพราะแบบนี้จิตวิทยาและประสบการณ์จึงต้องควบคู่กันไปถึงจะทำให้ธุรกิจเป็นไปด้วยความอยู่รอดอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่ไม่ขาดทุนแต่ต้องมองไปถึงกำไร
จิตวิทยาในการตลาด หรือ Marketing Psychology จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มากกว่าตัวช่วยในการเพิ่มยอดขาย แต่จะทำให้ทุกคนทำธุรกิจด้วยความเข้าใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ทุกคนรู้ว่าราคาคือเรื่องสำคัญลำดับแรกๆ แต่อย่าลืมว่าขนาดก็สำคัญไม่แพ้กัน ทุกคนคงอยากได้อะไรที่คุ้มค่า ลองคิดดูว่าถ้าระหว่างเครื่องดื่มแก้วเล็กราคา 89 บาท เพิ่ม 10 บาท จะสามารถอัพเป็นไซส์ใหญ่ได้ ก็คงจะดูน่าสนใจกว่า จริงไหม?
เพราะคงไม่มีใครมาคำนวณหรอกว่า 10 บาทนั้นได้เพิ่มมากี่มิลลิลิตร พวกเขาจะคิดแต่เพียงว่าเพิ่มแค่ 10 บาทเอง จากแก้วเล็กเป็นแก้วใหญ่คุ้มกว่าตั้งเยอะ ใครอยากที่จะพลาดไป
ในมุมฝั่งเจ้าของธุรกิจเองก็จะได้ยอดขายที่มากขึ้น ลูกค้าก็ได้ความพึงพอใจที่ได้สินค้าเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้วินทั้งสองฝ่ายไม่ยาก
หรือการใช้โอกาสพิเศษและคำพูดปลอบโยนจิตใจก็ช่วยอย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่ว่าจะ 10.10 ,วันขึ้นปีใหม่ หรือวันหยุดทั้งหลาย ถ้าใช้ช่วงเวลานี้สร้างโปรโมชั่นอะไรบางอย่างก็จะมีโอกาสที่โน้มน้าวใจคนได้มากกว่า ลูกค้าได้ความรู้สึกเหมือนให้รางวัลแก่ตัวเอง และการตัดสินใจซื้อก็จะเป็นไปง่ายดายขึ้น
อีกวิธีที่มักใช้ได้ดีกับคนในสมัยนี้คือการซื้อใจของลูกค้ามากที่สุด แสดงถึงความจริงใจ อาทิเช่น ถ้าซื้ออาหารภายในไม่เกิน 30 นาทีแล้วอาหารไม่ร้อนเหมือนเดิมยินดีให้เปลี่ยนได้ฟรี
หรือหากสั่งเครื่องดื่มแล้วออเดอร์ไม่เป็นตามที่ต้องการ หรือพนักงานทำผิดอะไรก็ตาม ยินดีทำให้ใหม่ทันที เหล่านี้ก็เป็นวิธีเล็กๆที่ทรงประสิทธิภาพมาก ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับความเสียหายเพียงเล็กน้อยที่เสียไป แต่ได้ความคุ้มค่าในเรื่องการซื้อใจลูกค้ามา ก็คุ้มที่จะลองเสี่ยงดูไม่ใช่เหรอ?
เคยมีคนบอกว่าการตลาดนั้นไม่ยากหรอก แต่การดึงดูดผู้คนให้เข้ามายังธุรกิจของเราอย่างสม่ำเสมอนั้นคือเรื่องปราบเซียนที่สุด มีทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้ นั่นคือการศึกษาให้มากพอ ฝึกฝนและเรียนรู้อย่างไม่มีวันหยุด
ก่อนจะมองความสำเร็จภายนอกของคนอื่น ลองมองเข้าไปในหัวใจของคนเหล่านั้นว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ประสบการณ์และความไม่หยุดเรียนรู้ คือสิ่งที่สอนคนมากมายให้สำเร็จอย่างที่เราพบเห็นในสังคมแบบทุกวันนี้
ในโลกนี้มีเรื่องที่เราทุกคนยังไม่รู้อีกมาก ตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรที่ยังไม่รู้ และสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเราหรือไม่ ถ้าเจอแล้ว รีบมุ่งหน้าไปเรียนรู้ให้มากที่สุด ก่อนที่วันหนึ่งจะมีคนอื่นมาเรียนรู้เรื่องนั้นแล้วสำเร็จไปก่อนที่คุณจะเข้าใจมัน
…
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital