ปิดการขายบนโลกออนไลน์ใน 4 วิธี
ยอดขายตก ร้านจะเจ๊งอยู่แล้ว หันมาเปิดร้านออนไลน์ก็ไปไม่รอด
พอโควิดมา แม่ค้าออนไลน์ก็เกือบตายกันหมด
ถึงแม้การระบาดของโรคร้ายจะทุเลาลงจนไม่น่ากังวลใจ แต่ปัญหายอดขายติดลบของพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายก็ยังคงอยู่
คนประหยัด กลัวโรค กลัวจน ก็เลยช็อปปิ้งกันน้อยลง ใช้จ่ายกันน้อยลง ทำเอาพ่อค้าแม่ค้าต้องนั่งปาดเหงื่อกันเป็นแถว
แต่ปัญหานี้..คุณไม่ได้เจอคนเดียว และแน่นอนว่ามันมีทางแก้
เพราะถ้าสินค้าดี มีคุณค่า มีความจำเป็น อย่างไรเสียคนก็ต้องซื้อ ต้องยอมจ่าย
เพราะฉะนั้น ลองปรับเทคนิคการขายดีกว่าไหม
ทำอย่างไร คนถึงจะสนใจสินค้าเรา
ทำอย่างไร คนถึงยอมจ่ายเงินให้เรา
วันนี้เราได้รวบรวมเอา 4 เทคนิค ซึ่งมาจากประสบการณ์ตรงของคุณต้อง พรพรรณ ประเพณี (เจ้าของเพจ ต้อง โต 100 เท่า) มาสรุปให้ทุกท่านได้อ่านกัน
4 เทคนิคที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร..ไปดูกัน
วิธีที่ 1 คอนเทนต์ใช่..อ่านแล้วโดน !
คิดจะปิดการขาย ต้องเปิดการขายให้ได้ก่อน
สิ่งที่จะดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายในยุคที่เต็มไปด้วยคู่แข่งทางการค้าบนโลกออนไลน์ได้ คือ คอนเทนต์
เขียนคอนเทนต์โดนใจ..ดึงดูดคนเข้าร้านได้ ก็มีโอกาสขายสินค้าได้มากกว่า
จะเปิดการขายเมื่อไหร่ จำคำนี้ไว้ให้ขึ้นใจ…
“Content is KING !”
เมื่อเขียนคอนเทนต์ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ข้อมูลหรือเนื้อหาข้างใน
เพราะการจะทำให้กลุ่มเป้าหมายหยุดและสนใจสินค้าของเรานั้น ส่วนสำคัญมันเริ่มตั้งแต่หัวข้อเรื่อง, ใจความหลังของข้อมูล, แฮชแท็ก # ที่เราแทรกไว้ในเนื้อหา, ความน่าสนใจของวิดีโอ รวมทั้งเสียง หรือภาพประกอบที่เราใส่เอาไว้
Value content คือความยั่งยืน
Value content คือการเขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะได้ความรู้ ได้ความบันเทิง ได้กำลังใจ ได้ข้อคิด หรือได้วิธีแก้ปัญหาชีวิตที่ใช้ได้จริง
Give before take ให้สิ่งดี ๆ ไปเถอะ ไม่ต้องหวง ไม่ต้องกั๊ก แล้วผู้ติดตามจะรักคุณทั้งใจ
คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ แค่โดนใจอย่างเดียวไม่พอ เมื่ออ่านจบแล้ว..ผู้อ่านต้องได้อะไรดีๆกลับไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม..
อย่าคิดไปเอง ว่าคอนเทนต์แบบนั้นแบบนี้มีประโยชน์แน่ !
เพราะถึงแม้มันจะมีประโยชน์สำหรับคุณ แต่สำหรับกลุ่มเป้าหมายแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นนั่นอาจไม่น่าสนใจเลยสักนิด
ดังนั้น ก่อนเขียนคอนเทนต์ เราจึงต้องตอบให้ได้ก่อนว่า ‘กลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร’ แล้วคนกลุ่มนี้มีความต้องการอะไร อยากรู้อยากเห็นเรื่องใดบ้าง (อ่านใจเขาให้ออก) แล้วเราจะคิดหัวข้อสำหรับการเขียนคอนเทนต์ได้ง่ายมาก แล้วกลุ่มเป้าหมายก็สนใจแน่นอน
“นอกจากเนื้อหาดี คอนเทนต์โดนแล้ว ทุกคนต้องมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มความแพรวพราวให้กับคอนเทนต์ ผู้อ่านจะได้ไม่เบื่อ กลุ่มเป้าหมายจะได้ไม่เมิน เพราะรูปแบบเดิม ๆ ที่ไม่น่าสนใจ”
- แฮชแท็ก #
คุณสามารถเพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ช่วยดึงดูดสายตาผู้อ่านได้มากอย่างด้วย แฮชแท็ก # ซึ่งจะทำให้ตัวหนังสือเข้มขึ้น ใช้สำหรับการเน้นคำสำคัญ หรือจุดที่ต้องการทำให้น่าสนใจเป็นพิเศษ เช่น #โปรโมชั่นมาแรง #แจกฟรี #ลดราคา - เขียนแบบตั้งคำถาม ให้หยุดคิด
อย่าเล่าไปเรื่อย เล่าเอื่อย ๆ ผู้อ่านจะหลับเอา ! เพราะฉะนั้น ลองตั้งคำถามระหว่างบทความให้ผู้อ่านได้คิดตามเล่น ๆ ยกตัวอย่างบทความของเพจนิ้วกลม “ไปข้างหน้า หรือ วนอยู่กับที่?” เป็นไง…อ่านแล้วชะงัก ถึงกับต้องคิดตามเลยใช่ไหมล่ะ - ขยี้จุดเจ็บ อ่านแล้วจี๊ดดด
ทำความเข้าใจปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย แล้วเขียนบทความขยี้ปมนั้นให้สุด แต่…อย่าขยี้เพลิน เดี๋ยวผู้อ่านจะเจ็บปวดเสียจนเลิกติดตามเราไปซะก่อน เพราะฉะนั้นขยี้แล้ว ต้องบอกทางออก หรือวิธีแก้ปัญหาให้กับเขาด้วย
วิธีที่ 2 Cross-Selling (แบบจักรวาลมาร์เวล)
เคยดูภาพยนตร์ในจักวาลมาร์เวลไหม ?
ดูแล้วเลิกไม่ได้ ดูแล้วติดหนึบ ติดถึงขั้นต้องตามไปดูเรื่องอื่น ๆ จนครบ
ประมาณว่า..ดูเรื่องเดียวแล้วหลง หาทางออกจากจักวาลนี้ไม่ได้เลย รู้ตัวอีกที..กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ไปซะแล้ว
ที่เป็นเช่นนี้ คุณต้อง โต 100 เท่าได้บอกเอาไว้ว่า มันเป็นเพราะ..การผูกเงื่อนพิรอด
“Marvel ผูกเงื่อนพิรอด เชื่อมโยงตัวละครแต่ละตัว ให้มีความแน่นแฟ้นจนแยกไม่ออก ชนิดหลวมตัวไปดูเรื่องเดียวนี่ยาวไปทั้งจักรวาล”
ซึ่งเทคนิคผูกเงื่อนพิรอด ก็จะคล้าย ๆ กับการ Cross-Selling ซึ่งเป็นการเสนอขาย แนะนำ เชิญชวน หรือจูงใจให้ลูกค้าที่เคยติดสินใจซื้อสินค้าของเราไปแล้ว พิจารณาซื้อของอื่น ๆ เพิ่มอืก
การทำ Cross-Selling จะเป็นอีกทางที่ช่วยเพิ่มยอดขาย โดยที่เราไม่ต้องเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการให้สูงขึ้น แต่ต้องทำเนียน ๆ ทำให้ลูกค้าเคลิ้ม ขายให้ลูกค้าไม่อยากปฏิเสธ
ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ประมาณสาวเซเว่นที่ชอบพูดกับเราที่ซื้อขนมไปตั้งเยอะแล้วว่า..
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ ?”
วิธีที่ 3 Up-Selling Popcorn
ตอนซื้อป็อปคอร์นก่อนเข้าโรงหนัง คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังโดนพนักงานใช้เทคนิค Up-Selling อยู่
พอเราเอ่ยปากสั่งป็อปคอร์นถังเล็ก เหตุการณ์นี้ก็จะเกิดขึ้น
พนักงาน : UP เป็นน้ำใหญ่ ป็อปใหญ่ไหมคะ เพิ่มเงินนิดเดียว คุ้ม !
หรือประมาณว่า…
พนักงาน : UP เป็น size L ไหมคะ เพิ่มแค่ 15 บาทเอง
พูดจบแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ ส่วนเราก็รีบควักเงินเพิ่มเงินอีกนิด เพื่อ Up ไซส์ทั้งป็อปคอร์นให้กลายเป็นถังใหญ่ และเพิ่มน้ำให้กลายเป็นแก้วเบ้อเริ่ม ด้วยความรู้สึกว่า ‘มันโคตรคุ้ม!’
การ Up-Selling คืออะไร ?
มันคือการจูงใจให้ลูกค้าเพิ่มจำนวน หรือขนาดสินค้าที่กำลังจะซื้อแบบเนียน ๆ
โดยเทคนิคนี้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าการเพิ่มเงินอีกนิดนั้น มันช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน
เมื่อต้องการใช้เทคนิคนี้กับการขายสินค้าออนไลน์ คุณอาจเริ่มจากการเสนอขายสินค้าไซส์เล็ก หรือสินค้าราคาถูกกว่าให้กับลูกค้าก่อน เพราะสินค้าแบบนี้คือคู่เทียบชั้นดีเมื่อเราต้องการเสนอขายสินค้าที่ราคาสูงกว่า(แต่คุ้มกว่า)
เช่น..ครีมตัวนี้กระปุกละ 1,000 บาท แต่ถ้าซื้อเป็นเซ็ทพร้อมเครื่องสำอาง คุ้มกว่ามากกกก เพราะเรามีโปรโมชั่นลดราคาให้ 30%
เมื่อลูกค้ารู้สึกว่า เพิ่มเงินอีกนิด ได้ของดีกว่า ไซส์ใหญ่กว่า เยอกว่า คุ้มกว่าแน่…เขาก็จะยอมจ่าย ยอดขายเราก็เพิ่มขึ้น
วิธีที่ 4 Pitstop แคปชั่น
คุณคิดว่า Ferrari F1 เข้า Pit กี่วิ ?
คุณต้อง โต 100 เท่าได้ตั้งคำถามนี้เอาไว้ในหนังสือ ทำเอาผู้อ่านถึงกับเดากันไม่ถูก ว่ามันจะเร็วสักแค่ไหนกัน
จากนั้นจึงมีเฉลยตามมาว่า..
“มีบันทึกไว้ว่า ทีมที่ทำเวลาได้เร็วที่สุด ใช่เวลาในการเปลี่ยนยางทั้ง 4 เส้น เพียงแค่ 1.92 วินาที”
ถามว่าประเด็นน่าสนใจอย่างไร ?
ที่น่าสนใจมาก ก็เพราะการเข้า Pit นั้น มันคล้ายกับตอนที่เราเลื่อนหน้า Feed บนเฟสบุ๊ค
นิ้วของเราไถผ่านแต่ละคอนเทนต์ แต่ละโพสต์ไปเป็นสิบ ภายในระยะเวลาไม่กี่วิเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำให้กลุ่มเป้าหมายสะดุดตาระหว่างการไถ Feed ด้วยความเร็วเท่า Ferrari F1 ช่วงเข้า Pit ได้ ก็มีโอกาสชนะคู่แข่งบนตลาดออนไลน์ได้มากกว่า
ซึ่งการสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ก็มาจากแคปชั่นของเรานั่นเอง
การเขียน Caption เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยดึงดูดความสนใจได้มาก
และหัวใจสำคัญที่คุณต้อง โต 100 เท่า ตั้งไว้เป็นหลักในการเขียนก็คือ “น้อยแต่มาก”
คือ น้อยด้วยตัวอักษร แต่มากด้วยความหมาย
ประมาณว่า เห็นแล้วหยุด ต้องอ่านทันที หนีไปไหนไม่ได้เด็ดขาด !
อ้างอิง : ข้อมูลจากหนังสือ : เผาทางถอย
เขียนโดย พรพรรณ ประเพณี | เจ้าของเพจ ต้อง โต 100 เท่า
. . .
บทความโดย : กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณรูปภาพจาก : เว็บไซต์ Pexels