ทุกสงครามย่อมมีคู่ต่อสู้ ทุกการแข่งขันย่อมมีผู้แพ้และผู้ชนะ ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่าในสนามนี้ เราอยากจะเป็นคนแพ้หรือชนะ สิ่งนี้กำหนดได้จาก…การวิเคราะห์
ย้อนกลับไปตั้งแต่อดีต มนุษย์กับการแย่งชิงอำนาจอยู่คู่กันมายาวนาน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 หรือรวมไปถึงสงครามยิบย่อยอีกสารพัด
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ไม่สิ้นสุด การแข่งขันก็ถูกปลูกฝังมาในสายเลือดมาโดยตลอด ซึ่งแม้การแข่งขันเองจะเต็มไปด้วยผลเสียมากมาย ทั้งการเอาเปรียบ การต่อสู้ ต่างๆนานา
ในอีกมุมหนึ่งการแข่งขันนั้นก็ทำให้ได้เห็นแง่มุมอะไรใหม่ๆจากการวิเคราะห์ได้เหมือนกัน และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสู่สนามจริง จึงต้องรู้ก่อนว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไร
ในโลกของธุรกิจ สถานการณ์การแข่งขันถูกเรียกได้ว่าเป็นสมรภูมิที่ถ้าไม่แน่จริงก็คงอยู่ลำบาก ยิ่งสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปทุกระดับวินาที การปรับตัวจึงสำคัญมากที่สุด
หนึ่งในคุณสมบัติของเหล่านักธุรกิจในท้องตลาดคือ ทุกคนรู้ดีว่าตนเองมีอะไร และจะทำยังไงให้จุดเด่นตรงนั้น ฉายแสงเปล่งประกายให้ทุกคนได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น
แต่ข้อเสียคือแค่รู้ว่าตัวเองมีอะไรดีไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่าคู่แข่งมีอะไรที่ทัดเทียมหรือนำหน้าเราไปมากแค่ไหน เพื่อที่จะยกระดับให้เทียบเคียงหรือนำหน้าไปไกลหลายเท่าตัว
ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มาจากการวิเคราะห์ คู่แข่งในมุมหนึ่งคือศัตรู แต่อีกมุมก็เหมือนต้นแบบให้เราได้ศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่แล้วมา
ทุกตลาดต้องการคนเป็นที่หนึ่ง เคยมีคำกล่าวว่า “แม้การเป็นที่สองจะดูไม่แย่นัก แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครจดจำเท่าที่หนึ่งอยู่ดี”
นี่คือสิ่งสะท้อนถึงความเป็นจริงได้ดี ลองนึกดูว่าเมื่อพูดถึงอะไรก็ตามแล้วเราจะนึกถึงลำดับไหน
ถ้าพูดถึงร้านไก่ทอด – คงต้องเป็น เคเอฟซี
ถ้าพูดร้านเบอร์เกอร์ – อาจจะเป็น แมคโดนัลด์
หรือถ้านึกถึงร้านสะดวกซื้อ – หนีไม่พ้น 7-11 อยู่ดี
ทั้งที่ในตลาดมีหลายเจ้าที่ขายสินค้าและบริการเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจลบความทรงจำพวกนี้ลงไปได้ เนื่องจากบางสิ่งถูกปลูกฝังมานาน ย่อมยากจะเปลี่ยนแปลงความเดิมได้ทั้งหมด
ทำให้การวิเคราะห์ ถึงสำคัญมากไม่ว่าจะหน้าใหม่หรือหน้าเก่า
หลักการวิเคราะห์คู่แข่งของแต่ละแบรนด์นั้นต่างกัน แต่ก็พอมีหลักสูตรอยู่บ้างที่จะบอกถึงหนทางสู่ความแตกต่างนั้น
เมื่อจะเปิดร้านอาหารสิ่งแรกที่ต้องทำคือ รวบรวมรายชื่อทั้งหมดของร้านคู่แข่งออกมาก่อน ไม่ว่าจะผ่านการรีเสิร์ช หรือสังเกตข้างทางอะไรก็ตาม รวบรวมให้มากที่สุด
สิ่งนี้ทำไปเพื่ออะไร?
เพื่อคัดกรองว่าก่อนจะเริ่มธุรกิจ มีแนวโน้มจะทำยอดขายได้ตามเป้ามากแค่ไหน เพราะถ้าคุณเปิดร้านอาหารที่บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยภัตตาคารชั้นนำทั้งหลาย
คงไม่ง่ายถ้าจะดึงความโดดเด่นให้ออกมาสู้กับเหล่าร้านประสบการณ์พวกนั้น และสุดท้ายคงต้องอกหักตามระเบียบ
คู่แข่งแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือทางตรงและทางอ้อม ว่าง่ายๆคือร้านที่มีสินค้าในลักษณะเดียวกัน ราคาใกล้เคียง กลุ่มเป้าหมายใกล้เคียง นี่คือคู่แข่งทางตรง
แต่บางร้านถึงจะขายกันคนละแบบ แต่ราคาอาจใกล้เคียงกัน และสำคัญกว่านั้นคือกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ก็ถือเป็นอะไรที่ละเลยไม่ได้ อาจต้องหนักใจเพิ่มอีกพอสมควร
ทีนี้เข้าสู่การวิเคราะห์แบบเต็มรูปแบบ หากเราจะวิเคราะห์ใครสักคนหรือร้านสักแห่ง ต้องเกิดจากการรวบรวมข้อมูลของสิ่งนั้นอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ภาพลักษณ์ สินค้าและบริการ ลักษณะกลุ่มเป้าหมาย จุดแข็ง จุดอ่อน หรือแม้แต่ ความเหมือนและความต่างของเราเอง ก็ล้วนแต่ต้องสนใจ
นำข้อมูลที่ได้มาจัดวางเรียง และวิเคราะห์อย่างไม่มีอคติ อะไรเราด้อยกว่าก็ต้องยอมรับ เพื่อพร้อมจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
เมื่อรู้เขาแล้ว จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะไม่รู้เราด้วย เพราะการรู้จักข้อดีข้อเสียของตนเองคือข้อมูลที่สำคัญเหมือนกัน แต่หากไม่มีแนวทางอาจลองใช้หลักของ SWOT มาเป็นตัวช่วยได้
S = Strengeth คือจุดแข็ง , W = Weaknesses คือจุดอ่อน , O = Opportunities คือโอกาสที่จะสำเร็จ และ T = Threats คืออุปสรรคในการดำเนินงาน
ว่ากันว่าเพียงแค่รู้ 4 ข้อนี้ก็สามารถเห็นทิศทางความน่าจะเป็นของธุรกิจของเราได้แล้ว เริ่มกันที่จุดเด่น สำคัญมากถ้าหากจะทำธุรกิจสักอย่าง ต้องมีจุดเด่นเพื่อนำทางไปสู่สิ่งใหม่
โดยเฉพาะร้านอาหารแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าจะมีอะไรเป็นจุดแข็ง ไม่นับรวมรสชาติอาหาร ความสะอาด และสไตล์ร้านที่ต้องเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ที่เหลือคือความแตกต่าง ความหลากหลายที่จะให้ทางเลือกแก่กลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด
สำหรับจุดอ่อน ต่อให้พยายามป้องกันแค่ไหนก็ต้องเกิดความผิดพลาดได้บ้าง ในส่วนนี้บางทีอาจมองไม่เห็นด้วยตัวเอง ต้องรับฟังความเห็นจากผู้อื่น เพื่อนำมาแก้ไขในสิ่งที่บกพร่อง
จะดีไปกว่านั้นถ้าเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็งได้ อาทิเช่น จะทำร้านอาหารที่เต็มไปด้วยเมนูจากหลายชาติ มองเผินๆอาจเป็นจุดอ่อนที่ไม่มีอะไรชูมาสักอย่างเดียว
แต่ถ้ารักษามาตรฐานและใส่คุณภาพลงไปในทุกเมนู ก็เปลี่ยนมาเป็นจุดแข็งที่นอกจากความหลากหลายแล้ว ยังรสชาติดีทุกจาน และเป็นผลต่อการตัดสินใจลูกค้าอย่างดีเกินคาดอีกด้วย
โอกาสในความสำเร็จ อาจต้องใช้หลายส่วนประกอบทั้งตนเองและคู่แข่ง มาผสมผสานให้เข้ากัน นำจุดเด่นของแต่ละแห่งมาปรับเข้ากับสไตล์ของตนเองได้ ยิ่งเป็นศัตรูที่น่ากลัวสำหรับผู้อื่นในตลาดเดียวกันเลยก็ว่าได้
ส่วนสุดท้ายคืออุปสรรค ไม่ว่าจะเป็น น้ำไม่ไหล ไฟดับ หรือปัญหาต่างๆต้องมีวิธีรับมืออย่างดี อาจมองไปที่เจ้าใหญ่ดูว่าเขามีแผนรับมืออย่างไร แล้วนำมาลองปรับใช้ดู
ประสบการณ์จะค่อยๆสอนให้รู้จักแก้ไขสถานการณ์อย่างดีที่สุด ไม่มีใครไม่เคยพลาด แต่เมื่อพลาดแล้วต้องแก้ไขไม่ใช่ยอมรับผิดเพื่อให้ปัญหานั้นจบไปโดยเร็ว
เพราะคนเก่งไม่ใช่คนที่สร้างโปรเจ็กต์ใหม่ทุกวัน แต่เป็นคนที่รักษาสิ่งที่ได้เริ่มสร้างด้วยตัวเองให้อยู่ถาวรและมั่นคงให้อยู่สืบไปตราบนานเท่านาน
ไม่ยากถ้าจะมีธุรกิจของตัวเอง วันนี้พรุ่งนี้ยังทำได้เลย แต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำให้ธุรกิจเหล่านั้นยั่งยืน แล้วจนถึงวันหนึ่งตลาดแห่งนี้จะบอกกับเราเองว่าเราเหมาะกับเวทีแห่งนี้หรือไม่?…
…
ภาพประกอบจาก : Pexels
ที่มาจาก Fanpage : CEO Restaurant