
ภาพถ่ายโดย alleksana จาก Pexels
หากพูดถึงมหาเศรษฐีผู้ที่เป็นต้นแบบให้แก่นักลงทุนรุ่นหลังโดยเฉพาะสายที่เน้นการลงทุนระยะยาว หรือ สไตล์ Value Investor (VI) นั้นคงหนีไม่พ้นคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกตำนานที่ยังมีลมหายใจและถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ มากมายให้กับคนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน เพราะกว่าที่ปู่แกจะประสบความสำเร็จได้นั้นก็ไม่ง่ายเลย และทุกครั้งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นในกิจการใดก็ตามจะเป็นที่จับตาของบรรดานักลงทุนทั่วโลกเลยก็ว่าได้
และในบรรดาพอร์ตการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ทั้งหมดนั้นจะมีแบรนด์นึงที่เป็นที่คุ้นตาของผู้อ่านอยู่ไม่น้อยซึ่งก็ไม่ใช่แบรนด์อื่นที่ไหนเลย นั่นคือ Coca-Cola ซึ่งบอกเลยว่าซ่าจนปู่เข้ามาลงทุนแล้วเป็นเวลาผ่านมากกว่า 30 ปีเลยทีเดียว ซึ่งน้อยคนนักที่จะยอมถือหุ้นเดิมมานานขนาดนี้โดยที่ไม่ขายออกไป และก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้อาจารย์ปู่กันก่อนซักนิด วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้นร่ำรวยจากการลงทุนและการบริหารเงินที่เต็มเปี่ยมด้วยความชาญฉลาดและสุขุมรอบคอบ โดยได้เริ่มต้นซื้อหุ้นตั้งแต่อายุได้ 11 ปี มาจนถึงในวัย 91 ปี แล้ว ถือว่ายาวนานมากๆ และบัฟเฟตต์เองก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการนี้ไม่ได้หายไปไหนเลย คุณปู่เอง เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปี 1930 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ณ เมือง Omaha รัฐ Nebraska ครอบครัวของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้นมีพี่สาว และน้องสาว อย่างละ 1 คน เขาเป็นเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ในขณะที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดมานั้นครอบครัวอยู่ในชนชั้นกลาง โดยพ่อของเขาคือ Harward Buffett เป็น Broker ในตลาดหุ้น และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรครีพับลิกัน และแม่ของเขาคือ Leila Buffett เป็นแม่บ้าน
และสิ่งที่หลายคนอยากจะรู้ คือ หุ้นตัวแรกในชีวิตของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้น คือตัวไหน ซึ่งถือได้ว่าตัวนี้เป็นจุดเปลี่ยนของปู่เลยกว่าได้ในตอนนั้น ซึ่งก็คือหุ้น City Service เขาสามารถซื้อได้ทั้งหมด 3 หุ้น ในราคา 38.25 เหรียญ ก่อนที่หุ้นจะตกไปที่ 27 เหรียญ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งราคาดีดตัวขึ้นมาที่ 40 เหรียญ แล้วเขาจึงตัดสินใจเทขายหุ้นทั้งหมดไป แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมาไม่นาน หุ้นตัวนี้ก็พุ่งขึ้นถึงเกือบ 200 เหรียญ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้ว่า ถ้าหากถือหุ้นไว้นานกว่านี้จะได้กำไรกว่า 492 เหรียญ แทนที่จะเป็น 5 เหรียญ และสิ่งนี้นี่เองเราก็สามารถนำมาเป็นบทเรียนให้เราได้โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัวเล่นเอง
ถัดมาเรามารู้จักที่มาของความซ่าระดับตำนานกันต่อเลยครับ โค้กนั้นเริ่มจากการที่พนักงานประจำบาร์จ่ายโซดาคนนึง ที่ชื่อ วิลลิส อี เวเนสเบิล ดันไปผสมไซรัปของโคคา-โคลา เข้ากับโซดา แทนที่จะใช้น้ำเปล่า แล้วคนที่ได้ดื่มรู้สึกชื่นชอบ เกิดความติดใจสั่งซ้ำและแพร่ขยายความนิยมนี้ไปเรื่อย ๆ และขยายความนิยมมากขึ้นจนกลายเป็นเครื่องดื่มบรรจุขวดสำเร็จในแพคเกจโค้กที่เห็นในทุกวันนี้และได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งที่น่าสนใจต่อมาคือ Coca – Cola นั้นได้เป็นบริษัทที่คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ให้ความสนใจ และความเป็นมาของบริษัทโค้ก หรือ The Coca-Cola Company นั้น น่าจะเริ่มจากการที่ อาซา จีแคน์เลอร์ นักธุรกิจชาวเมืองแอตแลนต้า ที่ได้กว้านซื้อหุ้นของ บริษัทโค้ก ทั้งหมด จากนายจอร์น เอส เพมเบอร์ตัน จนกลายมาเป็นผู้ครอบครองกิจการทั้งหมด และทำยอดขายของ Coke มากกว่าเดิมถึง 10 เท่า และได้ก่อตั้ง บริษัท Coca-Cola ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1893 พร้อมจดทะเบียนลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการ
ทีนี้ถามว่าทำไมคุณปู่ถึงสนใจที่จะเข้ามาลงทุนก็ถ้ามองในฐานะของนักลงทุนแบบเน้นหุ้นคุณค่านั้น โค้กจัดได้ว่ามีทั้งความแข็งแกร่งด้านการเงินและแบรนด์เป็นอย่างมาก จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจ อีกอย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยให้สัมภาษณ์นั้นก็คือ คุณปู่เชื่อว่ายังไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันเรื่องการอายุยืนเป็นร้อยปีได้ เพียงแค่เปลี่ยนไปทานแต่ผักและน้ำ (water and broccoli) ตรงกันข้าม ทุกวันนี้ เขาอายุ 80 กว่าปีแล้ว ณ ขณะ นั้น แต่ตอนนี้ก็ล่วงมาอีกเป็นสิบกว่าปีเลยทีเดียว ซึ่งปู่ก็ยังดื่มน้ำอัดลมอย่างน้อยๆ วันละ 5 กระป๋อง หรือราว ๆ 1 ใน 4 ของแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันและยังไม่นับรวมพวกจังค์ฟู้ดอย่างมันฝรั่งทอดอีก และของหวานอย่างไอศกรีมช็อคโกแลตชิพ หลังมื้อเช้าที่คุณปู่ทานประจำด้วย

ภาพถ่ายโดย Anna Nekrashevich จาก Pexels
เพราะปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เชื่อว่าตราบใดที่เขายังอารมณ์ดี และกระตือรือร้นที่จะตื่นขึ้นมาทำงานในตอนเช้าของทุกวัน และที่แกคำอธิบายแบบทีเล่นทีจริงของ บัฟเฟตต์ ที่ยังดูแข็งแรงดี แม้จะทานอาหารที่คนรักสุขภาพขยาด คือ …
“ผมลองเช็กสถิติแล้ว กลุ่มอายุที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำสุดคือเด็กหกขวบ
…ผมเลยตัดสินใจกินอะไรที่เหมือนเด็กหกขวบเขากินกัน”
จากสิ่งที่ปู่แกพูดไว้ ปัจจุบันนั้น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ถือหุ้น KO หรือ The Coca-Cola Company สูงเป็นอันดีบ 4 ของพอร์ตที่ตัวเอง ซึ่งก็คือติดอันดับ 4 ของ Berkshire Hathaway รวมแล้วเป็นมูลค่ากว่า 722,000 ล้านบาท หรือราว 6.9% ประมาณ 400 ล้านหุ้นในบริษัท ของพอร์ตรวม ซึ่ง ถือได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับเครื่องดื่มน้ำดำเจ้านี้
และจากเหตุผลทั้งหมดที่ว่ามานี้จึงทำให้ความซ่าของ Coca-Cola ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ และถ้าเป็นการวิเคราะห์ไม่ผิดคาดก็คงจะรู้ดีว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่น่าจะขายได้หุ้นนี้ออกไป เพราะในจดหมายประจำปีของบริษัท ในปี 1988 ก็ได้บอกว่า “เราได้ทำการซื้อหุ้นของ Coca-Cola เป็นจำนวนมาก เราคาดว่าจะถือหลักทรัพย์เหล่านี้เป็นเวลานาน” แสดงให้เห็นว่าเขามีความเอาจริงเอาจังที่จะถือหุ้นตัวนี้
และสุดท้ายนี้จะเห็นว่าเราได้เรียนรู้จากนักลงทุนระดับโลกในสายลงทุนระยะยาวมาก็จะได้แนวคิดว่าถ้าเราเลือกหุ้นได้ดีและถูกต้องนั้นเราก็จะแทบจะไม่ต้องมานั่งดูราคาทุกวัน เพราะตราบใดที่พื้นฐานของบริษัทยังไม่เปลี่ยน เราเองก็อย่าได้วิตกกังวลไปครับ
อ้างอิง: investors.coca-colacompany
เรียบเรียงโดย : ไชยวัฒน์ โชคบัณฑิต
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digitals
ขอบคุณภาพประกอบจาก : pexels