สต็อกสินค้าไว้เต็มคลัง..
แต่กลับขายไม่ได้ ขายไม่ออก ขาดทุนยับ!
การค้าขายเต็มไปด้วยความเสี่ยง..แต่จะมีสักกี่คนที่พร้อมรับมือกับมัน?
เมื่อพูดถึงความเสี่ยงที่เป็นเหมือนฝันร้ายของคนทำธุรกิจ เราอาจลิสต์ออกมาได้เป็นเป็นร้อยข้อ..เสี่ยงขายสินค้าไม่ได้ เสี่ยงขาดทุน เสี่ยงสูญเสียเงินก้อนใหญ่ เสี่ยงต้องปิดร้านทิ้งไปเพราะขาดสภาพคล่อง เสี่ยงหมุนเงินไปจ่ายลูกน้องไม่ทัน
เสี่ยง..เสี่ยง..และเสี่ยง
และคงไม่ต้องพูดถึงการค้าขายในยุคข้าวยากหมากแพงที่ทำให้ผู้คนเริ่มหันมารัดเข็มขัดกันอย่างแน่นหนา ไม่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินง่าย ๆ อีกต่อไป ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าที่สต็อกสินค้าเอาไว้ซะแน่นถึงกับต้องหลั่งน้ำตา เพราะทยอยระบายสินค้าออกไม่ทัน
เมื่อทุกย่างก้าวคือความเสี่ยง..ก็คงไม่มีใครอยากเห็นสินค้าค้างสต็อกนานแรมปี บางอย่างก็หมดอายุ บางอย่างทิ้งไว้นานก็เสื่อมประสิทธิภาพ บางอย่างสั่งมาเยอะเกินความต้องการของลูกค้า ก็กลายเป็นว่าเข้าเนื้อ ขาดทุนยับ อีกไม่นานคงเจ๊ง
เราจึงอยากแนะนำให้คุณลองขายสินค้าแบบพรีออร์เดอร์ที่ลงทุนน้อยกว่า ความเสี่ยงต่ำกว่า แต่กลับมีโอกาสคว้ากำไรได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ !
เพราะงั้น มาทำความเข้าใจกันว่า ‘สินค้าพรีออร์เดอร์’ คืออะไรกันแน่ ?
หากจะให้อธิบายการขายสินค้า พรีออร์เดอร์ (Pre-Order) แบบง่าย ๆ ก็คงสรุปได้ว่า..
นี่คือการทำธุรกิจความเสี่ยงต่ำ เพราะเป็นการขายของโดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน และไม่ต้องสต็อกสินค้าเอาไว้ในคลังเยอะ ๆ ด้วย
แม่ค้าหรือพ่อค้าจะรอให้มีคำสั่งซื้อหรือมีออร์เดอร์จากลูกค้าเข้ามาก่อน แล้วจึงสั่งนำเข้า หรือแจ้งโรงงานให้ผลิตสินค้านั้น ๆ มาตามจำนวนคำสั่งซื้อ
พรีออร์เดอร์ = ลูกค้าต้องรอ อย่าไปบอกว่าพร้อมส่ง !
หากลูกค้าสั่งสินค้ามา 1 ชิ้น จะยังไม่ได้รับสินค้าในทันที (เพราะทางร้านไม่มีสินค้าในสต็อก) จึงต้องรอตามระยะเวลาที่ทางร้านกำหนดหรือได้ทำข้อตกลงกันไว้ อาจเป็น 10 – 15 วัน หรือบางร้านอาจให้รอนานเป็นเดือน แล้วแต่ชนิดของสินค้าและขั้นตอนการผลิต
เพื่อความสบายใจของลูกค้า ทางร้านควรแจ้งว่าต้องรอนานแค่ไหน (กี่วันหรือกี่เดือน?) โดยร้านค้าส่วนใหญ่มักประเมินคร่าว ๆ จากหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือระยะเวลาที่ใช้ในการขนส่ง และอื่น ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม..อย่าปล่อยให้ลูกค้ารอนานเกินไป เพราะมันจะส่งผลต่อความไว้วางใจและความเชื่อมั่น
ยังไม่ได้สินค้า แล้วต้องจ่ายเงินแบบไหน ?
ร้านค้าส่วนใหญ่จะมีทางเลือกให้ลูกค้า 2 แบบ นั่นคือ การชำระเงินเต็มจำนวน และการมัดจำไว้ส่วนหนึ่ง
หากต้องการให้ลูกค้าชำระเงินเต็มจำนวน..ความน่าเชื่อถือสำคัญมาก
เนื่องจากสินค้าพรีออร์เดอร์ส่วนใหญ่ไม่มีหน้าร้าน แต่จะขายบนโลกออนไลน์แทน ทางร้านจึงจำเป็นจะต้องแสดงความหน้าเชื่อถือ โดยอาจสร้างโพสต์แสดงประวัติการซื้อขาย หรือขอให้ลูกค้าคนก่อน ๆ ช่วยรีวิวสินค้าที่ได้รับ เพื่อแสดงจุดยืนการค้าขายอย่างซื้อสัตย์ และแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า ‘โอนเงินมาแล้ว ได้ของชัวร์’
ในกรณีที่ทางร้านให้ลูกค้ามัดจำไว้ส่วนหนึ่ง
โดยอาจกำหนดเป็น 30%-50% ของราคาสินค้านั้น มีข้อดีคือลูกค้าจะยินยอมจ่ายเงินได้ง่ายกว่า เนื่องจากถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง (ในมุมมองของลูกค้า เขาจะคิดประมาณว่า ถ้าหากโดนโกงขึ้นมา ก็เสียเงินแค่ครึ่งเดียว!)
ในขณะเดียวกันทางร้านค้าเองก็ต้องระวังพวกมิจฉาชีพที่ปะปนมากับลูกค้า เพราะฉะนั้นคุณต้องกำหนดระยะเวลาอย่างชัดเจน ว่าเงินก้อนแรกจ่ายวันนี้ แล้วเงินส่วนที่เหลือจะนัดชำระในวันไหน
ซึ่งส่วนมากทางร้านจะให้ลูกค้าโอนเงินส่วนแรกมาในวันที่รับคำสั่งซื้อ จากนั้นจึงให้ชำระเงินส่วนที่เหลือมาในวันที่สินค้าผลิตเสร็จ หรือวันที่สินค้านำเข้ามาถึงประเทศไทย จนถึงกระบวนการเตรียมจัดส่งแล้ว
เมื่อลูกค้าโอนเงินที่เหลือมา ทางร้านจึงจะทำการส่งสินค้าให้ถึงมือโดยเร็วที่สุด
. . .
นี่คืออีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่อยากขายสินค้า แต่ยังไม่กล้ารับมือกับความเสี่ยง
เมื่อมีโอกาส ต้องรีบคว้าไว้..ความรู้รอบด้านของคุณ อาจเปลี่ยนเป็นเงินได้ทั้งหมด
อ้างอิง:
(1) บทความเรื่อง ‘พรีออเดอร์ (Pre- Order) คืออะไร รู้และทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน’ จากเว็บไซต์ www.smeleader.com
(2) บทความเรื่อง ‘4 ข้อในการตัดสินใจก่อนขาย สินค้าพรีออเดอร์’ จากเว็บไซต์ www.igitalgeek.com
. . .
บทความโดย: ณัฐริกา หลิมไทยงาม
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels